เตรียมประกาศควบคุมกวาวเครือ:รวมข้อมูลฟ้องจดสิทธิบัตรละเมิดไทย

การพัฒนาการแพทย์แผนไทยเตรียมประกาศกวาวเครือเป็นพืชควบคุม ชี้ต้องดูรายละเอียดไม่ให้ปิดกั้นการนำไปใช้ทางสร้างสรรค์ด้วย รับเร่งรวมข้อมูลเพื่อฟ้องต่างชาติจดสิทธิบัตร ใช้หลักฐานชั้นต้นการเผยแพร่สูตรโดยหลวงอนุสารสุนทร

กรณีกวาวเครือ พืชสมุนไพรสำคัญของไทยซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในหมู่หมอพื้นบ้าน และได้รับการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรเสริมความงามมานานหลายสิบปีในประเทศไทย ได้ถูกจดสิทธิบัตรไปแล้วโดยบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งหลายฝ่ายเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมาหลายประกายเนื่องจากกวาวเครือจัดเป็นพันธุ์พืชป่าตาม พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชปี 2542 ของไทย ผู้ใดที่นำไปวิจัยหรือใช้ประโยชน์ในทางพาณิชย์จะต้องได้รับการอนุญาตและต้องทำสัญญาแบ่งปันประโยชน์กับคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช

ทั้งนี้การจดสิทธิบัตรดังกล่าวอาจละเมิดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์ไทย พ.ศ. 2542 ด้วย เพราะคุณสมบัติในการดูแลผิวพรรณนั้นเป็นความรู้ที่แพร่หลายในหมู่หมอยาพื้นบ้านของไทยมาช้านาน เช่นเดียวกับคุณสมบัติอื่นๆ เช่น เป็นยาบำรุงเลือดลมและกระตุ้นเลือดลมและประจำเดือนให้มาตามปกติ เป็นยาอายุวัฒนะ ป้องกันผมหงอก แก้โรคตาฝ้าฟาง และต้อกระจก รวมทั้งกระตุ้นการเพิ่มขนาดของทรวงอก ฯลฯ

ความคืบหน้าเรื่องนี้ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน์ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้สัมภาษณ์ "พลเมืองเหนือ" ว่า กรมฯ กำลังเร่งดำเนินการหลายด้ายเช่น การส่งเสริมพัฒนาศึกษาวิจัย เนื่องจากยุคโลกาภิวัตน์เราไม่อาจจะปิดกั้นทุกอย่างได้ การที่จะทำให้ทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ได้ จำเป็นต้องศึกษาวิจัยให้ครบวงเพื่อเป้าหมาย 3 ประการคือ 1.เมื่อวิจัยแล้วสามารถจดสิทธิบัตรได้ 2.นักวิจัยตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานได้ แสดงถึงความรู้ความสามารถของนักวิจัยไทยได้ 3.ต้องนำความรู้ไปส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานปลอดภัยได้ผล

ขณะนี้ หน่วยที่เกี่ยวข้องได้รวบรวมผลงานการศึกษากวาวเครือในอดีตทั้งหมดว่ามีทำในส่วนใดแล้วบ้างและควรจะทำอะไรต่อไป ใครที่มีศักยภาพที่จะทำในเรื่องนี้อย่างเชื่อมั่นจริงจัง ซึ่งได้ภาพการพัฒนากวาวเครือของประเทศชัดเจนขึ้นแล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามใช้กฎหมายควบคุมดูแลกวาวเครือให้พัฒนาอย่างยั่งยืนไม่สูญหายไปโดยให้พัฒนาสายพันธ์ต่างๆ ขึ้นมาด้วย ทั้งนี้ล่าสุดมีมติว่า ควรจะประกาศให้กวาวเครือเป็นสมุนไพรควรคุม แต่จะต้องศึกษาให้ชัดว่า จะควบคุมอย่างไรให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ปิดกั้น ไม่ขัดขวางการใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องด้วย

ส่วนการมีการยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรใหม่ภายในประเทศนั้น สำหรับประเทศไทยเคยมีการยื่นขอจดและได้สิทธิบัตรไปแล้วแต่เกิดการฟ้องร้องขึ้น ขณะนี้คดีศาลชั้นต้นพิจารณาให้เพิกถอนสิทธิบัตรเพราะถือว่าเป็นการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมไปจดทะเบียน แต่ผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรได้อุทธรณ์และเรื่องอยู่ที่ศาลอยู่ ทั้งนี้สำหรับรายที่ยื่นจดขอสิทธิบัตรในไทยรายใหม่กรมฯได้ประสานข้อมูลกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาโดยละเอียดเพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่เหมาะสมเป็นประโยชน์มากที่สุด

ขณะที่การจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ และมีการให้ยื่นฟ้องร้องนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเราสามารถฟ้องร้องได้เพียงไร กำลังตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐคือ อัยการสูงสุด กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย

ขณะที่เอกชนคือ สภาทนายความร่วมมือกันตรวจสอบตรงนี้ ซึ่งหลักฐานข้อมูลที่สำคัญคือ ผู้ที่เผยแพร่ความรู้เรื่องกาวเครือคนแรกคือหลสงอนุสารสุนทรเผยแพร่ครั้งแรก ปี 2472 เป็นภาษาล้านนา และมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ก็ได้ แปลเป็นภาษาไทย และยังมีเอกสารภาษาไทยเผยแพร่เมื่อปี 2474 กล่าวถึงสรรพคุณและวิธีใช้กวาวเครือโดยละเอียด และเมื่อตรวจสอบทั้งในตำราดั้งเดิมมีตำราที่ปรากฏในพื้นบ้านไทยจำนวนมากและปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขประกาศให้กวาวเครือนเป็นยาสามัญประจำบ้านดเวย ถ้าไปจดสิทธิบัตรก็ไม่น่าจะจดได้

ประชาไทรายงาน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท