Skip to main content
sharethis

ประชาไท - 31 ม.ค.48 ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง "น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ" คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า คดีหมิ่นประมาท

คดีดังกล่าวเป็นการสู้ความระหว่างโจทก์ คือพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมอบอำนาจให้นายสมบูรณ์ คุปติมนัส ทนายความ ยื่นฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ คอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า , บริษัทหนังสือพิมพ์ แนวหน้า จำกัด นายวารินทร์ พูนศิริวงษ์ กรรมการผู้มีอำนาจบริษัทหนังสือพิมพ์แนวหน้าและ นายเสนอ ถนัดสอน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา(ขณะฟ้อง) เป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ใน ความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาด้วยเอกสาร และกระทำผิดพ.ร.บ.การ พิมพ์ พ.ศ.2484

โดยมูลเหตุแห่งการฟ้องร้องคือการตีพิมพ์จดหมายวิจารณ์นโยบายพักชำระ หนี้เกษตรกร และ กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านลงในคอลัมน์ " น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พูด" ของนายประสงค์ สุ่นสิริ ใน นสพ.แนวหน้า ฉบับ วันที่ 22 และ 23 ส.ค. 43 โดยใช้หัวข้อว่า "เสียใจที่มีคนเห็นแก่ตัว ร่วมแผ่นดิน"

ซึ่งเนื้อหาจดหมายมีใจความแสดงความเป็นห่วงที่บรรดานักการเมือง ที่มีชื่อเสียงในเรื่องทุจริตคอรัปชั่นรวมตัวกันในพรรคไทยรักไทย และในเรื่องนโยบายของ พรรคไทยรักไทย เช่น การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี กองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน

จดหมายดังกล่าวระบุด้วยว่าโจทก์ไม่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ แต่กลับเสนอนโยบายดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ และข้อความกล่าวเสียดสีว่า โจทก์ไม่เคยบริจาคเงินช่วยชาติ ค้าขายผูกขาด และเอารัดเอาเปรียบประชาชน ผู้เขียนจึงแนะนำให้โจทก์ เลิกคิดเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ

ทั้งนี้นายประสงค์ สุ่นศิริ จำเลยที่ 1 ได้เขียนข้อความต่อท้ายว่า ขอฝากจดหมายดังกล่าว ผ่านคอลัมน์เพื่อเป็นการตักเตือนโจทก์ว่า ประชาชนคิดอย่างไรต่อนโยบายของโจทก์

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ เนื่องจากพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ข้อความที่ตีพิมพ์ในคอลัมน์จำเลยที่ 1 เป็นบทความที่มุ่งประสงค์ถึงตัวโจทก์โดยตรง ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โจทก์และนโยบายของพรรค จึงเป็นการติชมและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพราะนายกรัฐมนตรีเป็น บุคคลสาธารณะ ที่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งสื่อมวลชน มีสิทธิ์ที่จะติดชม วิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเกี่ยวกับโจทก์และนโยบายพรรคไทยรักไทย

ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา ตาม มาตรา 328 ประมวลกฎหมายอาญา

ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวัน ที่ 22 เมษายน 45

วันนี้ ศาลอุทธรณ์คดีอาญาออกนั่งบัลลังก์ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยระบุว่า "บทความดังกล่าว เป็นบทความที่มุ่งประสงค์ต่อตัวโจทก์ และพรรคไทยรักไทย แต่การวิพากษ์วิจารณ์ของจำเลย เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และความวิตกห่วงใย ในปัญหาบ้านเมือง ที่ประชาชนทั่วไป ย่อมแสดงความคิดเห็นดังกล่าวได้ ซึ่งแม้ข้อความดังกล่าว จะเป็นการเสียดสีโจทก์ที่รุนแรง อยู่บ้าง ในทำนองว่า โจทก์ร่ำรวย แต่ก็ไม่เคยช่วยเหลือ หรือเสียสละเพื่อส่วนรวม ไม่เคยบริจาคเงินให้แก่กองทุนช่วงชาติ เป็นการเห็นแก่ตัว ไม่สำนึกบุญคุณ ของแผ่นดิน และความเดือดร้อนของคนร่วมชาติ ค่าโทรศัพท์มือถือ ก็ไม่ลดแม้แต่บาทเดียว โจทก์จึงไม่ควรจัดตั้งพรรคการเมือง เพื่ออาศัยประชาชนไปสู่ความยิ่งใหญ่ และความมั่นคงกว่าเดิม"

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า เมื่อโจทก์อาสาเข้ามาเป็นนักการเมือง ด้วยการตั้งพรรคการเมือง และเป็นหัวหน้าพรรค โดยเสนอตัวว่า จะเป็นนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบต่อประชาชน และประเทศชาติ จึงถือว่า เป็น บุคคลสาธารณะ ที่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งสื่อมวลชน มีสิทธิ์ที่จะติดชม วิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเกี่ยวกับโจทก์ และนโยบายพรรคไทยรักไทยว่า สมควรได้รับความไว้วางใจให้จัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศชาติได้หรือไม่

อีกทั้งข้อความในคอลัมน์ดังกล่าวนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงเสียทีเดียว ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริตด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเป็น วิสัยของประชาชนและสื่อมวลชนกระทำได้โดยชอบ บทความที่ตีพิมพ์ดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

ประชาไทรายงาน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net