ศูนย์ข่าวภาคใต้
ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ที่คนภาคใต้ยังคงจงรักภักดีต่อ "พรรคประชาธิปัตย์"
ขณะเดียวกัน กรณี "นายกฤษณ์ สีฟ้า" แห่งพรรคไทยรักไทย เบียดแทรกเอาชนะผู้สมัครคู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์ "นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฐ" ในพื้นที่พังงา เขต 2 ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตื่นเต้นอะไรกันมากมาย
ด้วยเพราะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า อานิสงส์แห่งการเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อคลื่นสิมามิ ในนามรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย โดยมิต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่า จะถูกใบแดงจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ย่อมเป็นข้อได้เปรียบคู่ต่อสู้อย่างฉกาจฉกรรจ์อยู่ในตัว
เรื่องที่น่าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง สำหรับคอการเมืองต่อผลการเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใต้ ก็คือ กรณีคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตัดเยื่อใย "กลุ่มวาดะห์" แห่งพรรคไทยรักไทย ด้วยการเทคะแนนเลือก "พรรคประชาธิปัตย์" ชนิดท่วมท้น
จน "กลุ่มวาดะห์" กลุ่มการเมืองมุสลิม ที่ผูกขาดพื้นที่นี้มาเนิ่นนาน ตกอยู่ในสภาพสูญพันธุ์ทางการเมืองในพื้นที่นี้
โชคดีอยู่บ้าง ตรงที่ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา" กับ "นายอารีเพ็ญ อุตรสินธุ์" 2 แกนนำแห่ง "กลุ่มวาดะห์" ยังคงมีโอกาสได้ทำงานการเมืองในสภาต่อไปอีกสมัย
ทว่า ไม่ได้เดินเข้าสู่สภาจากฐานการสนับสนุนของผู้คนที่เป็นฐานเสียงดั้งเดิม ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เข้ามาในฐานะ "สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ" สังกัดพรรคไทยรักไทย
ทำไม "กลุ่มวาดะห์" แห่งพรรคไทยรักไทย จึงสอบตกกราวรูด ไม่ได้รับเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ โพลหลายสำนักระบุว่า ผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย ใน 3 จังหวัดนี้ จะได้รับเลือกถึง 8 ที่นั่ง จากทั้งหมด 11 เขตเลือกตั้ง
นั่นคือ จังหวัดปัตตานี เขต 1, 3, 4 จังหวัดนราธิวาส เขต 1, 3, 4 และจังหวัดยะลา เขต 2, 3 เขตที่เหลือจึงจะตกเป็นของผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์
ทว่า เมื่อนับคะแนนกันจริงๆ กลับปรากฏว่า ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์กวาดเรียบ
ยกเว้นก็แต่เฉพาะที่จังหวัดนราธิวาส เขต 3 ที่ตกเป็นของผู้สมัครจากพรรคชาติไทย คือ "นายกูเฮง ยาวอหะซัน" ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน ถูกลอบยิงได้รับบาดเจ็บ ขณะที่คนขับรถเสียชีวิต อันเป็นที่มาของเสียงบอกเล่าว่า เป็นการเข้าวินจากคะแนนสงสาร เป็นคะแนนสงสารที่มาพร้อมกับกระสุนปืน
ดูเหมือน "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ทั้งในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และนายกรัฐมนตรี จะรับผลสะเทือนจากการเทเสียงให้กับพรรคคู่แข่งของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คราวนี้โดยตรง
ในฐานะ "หัวหน้าพรรคไทยรักไทย" ผู้นำพรรคคนนี้เคยประกาศว่า จะคว้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในภาคใต้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึง 20 ที่นั่ง
ถึงแม้ต่อมาจะลดเป้าลงเหลือ 15 ที่นั่ง ทว่า เป็นที่รับรู้กันอยู่นัยๆ ว่า ความหวังจริงๆ ของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย อยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้การนำของ "กลุ่มวาดะห์" และอีกบางเขตเลือกตั้งของดินแดนด้ามขวานเท่านั้น
แน่นอน เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ย่อมรู้สึกผิดความคาดหมายเป็นธรรมดา
ทว่า ในฐานะ "นายกรัฐมนตรี" ที่เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความรุนแรงรายวัน ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ โดยรัฐบาลตัดสินใจตอบโต้กลุ่มผู้ก่อการ ในลักษณาการ "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" จนผู้คนบาดเจ็บล้มตายสูญหายมากมายมหาศาล ตลอดช่วง 2 - 3 ปี ที่ผ่านมา
ย่อมมีผลกระทบต่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี รุนแรงยิ่งกว่าผลกระทบที่มีต่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยหลายเท่า
อันเห็นได้ชัดจากการเลื่อนการเดินทางลงไปยังพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2548 ออกไปโดยไม่มีกำหนด
เหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มบ่มเพาะความรุนแรงมาตั้งแต่ช่วงปี 2545 ต่อเนื่องปี 2546
อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภายหลังจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ยุค "ร.ต.อ.ปุรุชัย เปี่ยมสมบูรณ์" รั้งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ตัดสินใจยุบ "ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้" และ "กองกำลังพลเรือนตำรวจทหารที่ 43"
ผ่องถ่ายอำนาจจากกองทัพภาคที่ 4 และฝ่ายปกครอง มาอยู่ในมือ "ตำรวจ"
สมัยนั้น "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ได้เรียกประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง มีการซักถามถึงกำลังของกลุ่มโจรก่อการร้ายในจังหวัดภาคใต้ว่า มีอยู่จริงเท่าไหร่
คำตอบของผู้บังคับบัญชาระดับสูง จากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ก็คือ มีอยู่แค่ 50 -60 คนเท่านั้น เป็น 50 - 60 คน ที่ไร้พิษสงอีกต่างหาก
"ผมขอเดือนละ 10 ราย ก็แล้วกัน" เป็นคำสั่งเชิงนโยบายของผู้ใหญ่ในที่ประชุมรายหนึ่ง
ส่งผลให้ต่อมาเกิดกรณีอุ้มฆ่าที่เชื่อกันว่า เป็นฝีมือของตำรวจบางกลุ่ม และกรณีลักลอบเข้าบ้านของ "กลุ่มโจรนินจา" ที่เล่าลือกันในพื้นที่กันว่า เป็นปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐ
อันนำมาสู่การล้อมกรอบรุมกระทืบตำรวจจนเสียชีวิต ด้วยเชื่อว่านี่แหละคือ "โจรนินจา" และการยิงตอบโต้ตำรวจ ระหว่างการล้อมจับผู้ร้ายในถิ่นนี้ จนนายตำรวจระดับผู้กำกับการถูกยิงเสียชีวิต
ท่ามกลางเสียงซุบซิบเซ็งแซ่ไปทั่วว่า ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ มี "รัฐมนตรีว่าการ" กระทรวงใหญ่รายหนึ่ง ลงมาเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภาค 9 ให้นโยบายว่า
"ถ้าเชื่อได้ 20 เปอร์เซ็นต์ คนไหนเป็นโจรก่อการร้ายให้ค้นได้ ถ้ามั่นใจว่า คนนี้เป็นพวกก่อการร้ายเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ ให้จัดการได้เลย"
เป็นเสียงเล่าลือที่ทำให้สายตาของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หันหลับไปมอง "นายวัน มูหะมัดนอร์ มะทา" ที่คนเหล่านี้เคยศรัทธา ด้วยสายตาเคลือบแคลง
แน่นอน หลังจากการประชุมในวันนี้ สิ่งที่ตามมา ก็คือ เหตุการณ์อุ้มไปรีดข้อมูลผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายคนถูกส่งกลับบ้านในสภาพเป็นศพ บางรายก็หย่อนกลับลงมาทางเฮลิคอปเตอร์
อันพัฒนามาสู่ความรุนแรงรายวัน หลังเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ ที่จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 มาจนถึงบัดนี้
ขณะที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็ตัดสินใจใช้นโยบายตาต่อตา ฟันต่อฟัน มึงบ้ามากูก็บ้าไป ใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง
ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาความรุนแรง อันเกิดจากปฏิบัติการฆ่ารายวัน ที่เกิดขึ้นตามมาอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้รัฐบาลจะส่งกำลังทหารลงมาจำนวนมาก รวมทั้งตั้ง "กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้" ขึ้นมาเป็นกลไกในการแก้ปัญหา ตามด้วยการทุ่มงบประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทมาให้ใช้
ทว่า แม่ทัพภาค 4 และรัฐมนตรีที่เข้าดูแลแก้ปัญหานี้ ก็ถูกปรับเปลี่ยนตัวคนแล้วคนเล่า
เหตุการณ์พุ่งสู่ความร้อนแรงยิ่งขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ชาวบ้านในท้องถิ่น ออกปฏิบัติการบุกฐานตำรวจทหาร 11 จุด เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่ฝ่ายชาวบ้านถูกตอบโต้จากทหารและตำรวจตาย 108 ศพ
ในจำนวนนี้ 32 ศพ ถูกทหารถล่มยิงตายคามัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี
ตามมาด้วยเหตุการณ์สลายการชุมนุม เรียกร้องให้ปล่อยตัวชุดรักษาหมู่บ้าน 6 คน ที่ตกผู้ต้องหามอบอาวุธให้โจรก่อการร้าย ที่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส
คราวนี้ มีคนตาย 85 ศพ ในจำนวนนี้ 6 ศพ ถูกยิงตายในที่เกิดเหตุ ระหว่างสลายการชุมนุม อีก 78 ศพ เสียชีวิตจากความบกพร่อง ระหว่างการขนย้ายผู้ชุมนุมจากหน้าโรงพักตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี
นี่ยังไม่นับรวมคนบาดเจ็บ และพิการ จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมครั้งนั้นอีกจำนวนหนึ่ง
ทั้ง 2 เหตุการณ์ส่งผลต่อความรู้สึกที่มีต่อ "รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" และพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะต่อนักการเมืองใน "กลุ่มวาดะห์" ที่ชาวบ้านในท้องถิ่นมองว่า นอกจากจะไม่ปกป้องคนมุสลิมด้วยกันแล้ว ยังยืนอยู่ข้างรัฐบาลที่ทำร้ายคนในพื้นที่อีกต่างหาก
อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ เห็นได้จากการการประเมินของ "นายอับดุลเร๊าะห์มาน อับดุลสอมัด" ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส
"นายอับดุลเร๊าะห์มาน อับดุลสอมัด" ประเมินว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจ และไม่โกรธที่รัฐตัดสินใจตอบโต้เด็ดขาด ยกเว้นกรณีล้อมปราบคนที่หลบเข้าไปอยู่ในมัสยิดกรือเซะ ที่มุสลิมบางส่วนรู้สึกสะเทือนใจ
แตกต่างจากเหตุการณ์ 85 ศพตากใบ ที่ล้วนแล้วมีแต่คนไม่พอใจ
"ลำพังมีคนตายในที่ชุมนุม 6 คน ยังพอรับกันได้ แต่อีก 78 ศพ ที่ตายระหว่างการขนย้าย เป็นสิ่งที่คนมุสลิมในพื้นที่รับไม่ได้" เป็นถ้อยเน้นย้ำของ "นายอับดุลเร๊าะห์มาน อับดุลสอมัด"
นี่คือ เหตุผลสำคัญที่คน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่เลือกพรรคไทยรักไทย และตัดสินใจลอยแพนักการเมืองกลุ่มวาดะห์ ในสายของผู้นำศาสนารายนี้
ด้วยเพราะผู้เสียชีวิตแต่ละราย ล้วนแล้วแต่มีญาติพี่น้อง มีเพื่อนบ้าน มีคนมุสลิมในพื้นที่อีกมากมาย ที่มีอารมณ์ร่วมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านอารมณ์ความรู้สึกว่า รัฐกระทำเกินกว่าเหตุ
คำถามที่ตามมา ก็คือ นักการเมืองมุสลิมในพื้นที่หายไปไหน ทำไม ถึงไม่ออกมาปกป้องไม่ออกมาดูแลคนมุสลิม ซึ่งเป็นฐานส่งให้นักการเมืองเหล่านี้ได้เติบใหญ่อยู่ในปัจจุบัน
คำถามเหล่านี้ พุ่งตรงไปยัง "กลุ่มวาดะห์" ที่มี "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา" เป็นแกนนำ
นอกจากเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว กรณีที่เกิดขึ้นนอกพื้นที่ อย่างการอุ้ม "นายสมชาย นีละไพจิตร" ทนายความมุสลิม ผู้เป็นที่พึ่งของชาว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ส่งผลให้คนพื้นที่นี้ ปฏิเสธ "พรรคไทยรักไทย"
ขณะที่ "นายวศิน สาเมาะ" จากเครือข่ายองค์กรชุมชนจังหวัดปัตตานีมองว่า นอกจากชาวบ้านจะไม่ยอมรับวิธีการแก้ปัญหาความไม่สงบของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ก็คือ "รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร" ไม่เคยตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนแม้แต่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีต้องการให้ยกเลิกกฎอัยการศึก ต้องการให้ถอนทหารออกจากพื้นที่
คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้เห็นปรากฏการณ์หัวคะแนนพรรคไทยรักไทย รับเงินมาแจกจ่ายผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ถือเอกสารของพรรคไทยรักไทยออกหาเสียง แต่กระซิบให้ผู้มีสิทธิลงคะแนน ให้เลือกพรรคประชาธิปัตย์
นักการเมืองที่ประเมินสถานการณ์นี้ได้ดี จึงน่าจะเป็น "นายสุธิพันธ์ ศรีริกานนท์" ที่เกือบเป็นว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนราธิวาส เขต 2 ของพรรคไทยรักไทย ที่ตัดสินใจไม่ลงสมัคร หลังจากเข้าไปปรึกษาโต๊ะครูในเขตเลือกตั้ง 4 คน ทุกคนให้ความเห็นว่า ถ้าลงสมัครในสังกัดพรรคไทยรักไทยสอบตกแน่ๆ
แล้วทำไมโพลล์สำนักต่างๆ จึงออกมาว่า พรรคไทยรักไทยจะได้ถึง 8 ที่นั่งในพื้นที่นี้ด้วยเล่า
คำตอบก็คือว่า สำหรับคน 3 จังหวัดภาคใต้แล้ว เพื่อความปลอดภัย คำตอบที่ให้กับคนแปลกหน้า จะต้องยืนอยู่ข้างรัฐเสมอ
จึงไม่แปลกอันใด ที่ผู้ทำโพลจะได้รับคำตอบว่า ผู้มีสิทธิในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เลือกพรรคไทยรักไทย
ถึงกระนั้น การเทเสียงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ของคน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คราวนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าตรงไปตรงมาว่า จะไว้วางใจพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคการเมืองอื่น
ด้วยว่านัยยะประการสำคัญ นอกจากจะเป็นการประกาศว่า พื้นที่นี้ไม่เอา "พรรคไทยรักไทย" พื้นที่นี้ไม่ต้องการ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" พื้นที่นี้ปฏิเสธ "กลุ่มวาดะห์" ในร่มเงาพรรคไทยรักไทยแล้ว
คอการเมืองในภาคใต้ตอนล่างระบุชัดเจนว่า การเลือกตั้งคราวนี้ สำหรับ3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ไม่ได้มาลงคะแนนเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทว่า เป็นการเดินเข้าคูหาลงประชามติ ไม่เอา "รัฐบาลทักษิณ ชินวัตร" พรรคประชาธิปัตย์ คือ เครื่องมือสำหรับการลงประชามติคราวนี้
ประชาไทรายงาน