ประชาไท -22 ก.พ.48 "นายกรัฐมนตรีกล่าวในที่ประชุมครม.ว่าต้องการให้มีการประชุมร่วมกันระหว่าง 2 สภา คือทั้งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด 700 คน เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ ถือเป็นการร้องขอครั้งแรกของรัฐบาลใหม่ และเป็นไปตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ โดยกรณีที่เปิดประชุมเช่นนี้ครั้งล่าสุดคือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" นายจักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว

นายจักรภพกล่าวต่อว่า การประชุมร่วมดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 30-31 มี.ค.นี้ หลังการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำหนดระยะเวลา 2 วัน เพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนกันเต็มที่ และถือเป็นระดมสมองรวมทั้งข้อเสนอจากฝ่ายต่างๆ ว่าควรจะปรับเปลี่ยนอะไร อย่างไร

"ทุกอย่างที่นำเสนอไปก่อนหน้าที่พร้อมที่จะมีการปรับเปลี่ยน ขึ้นต่อการพิจารณาของรัฐบาลหลังจากนั้น ไม่ใช่ใครเสนออะไรมาก็เอาหมด นอกจากนี้หากใครมีข้อมูลลับก็อาจจัดให้มีการประชุมลับเป็นระยะๆ ส่วนการถ่ายทอดสดนั้นยังไม่มีข้อสรุปว่าจะมีหรือไม่" นายจักรภพกล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียืนยันว่าการประชุมร่วมนี้ไม่ได้สะท้อนว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่ผ่านมาของรัฐบาลไม่ได้ผล แต่การหารือที่จะเกิดขึ้นจะยิ่งเพิ่มความสมบูรณ์ของแนวทางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมารัฐบาลก็เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนหรือนักวิชาการมาโดยตลอด จนกระทั่งเป็นที่มาของมาตรการพับนกกระดาษ แต่ครั้งนี้จะเป็นการรับฟังตามกลไกของรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่าระหว่างนี้รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร นายจักรภพกล่าวว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีรับเป็นเจ้าภาพในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งจากการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีครั้งล่าสุดพบว่าคุณภาพของหน่วยงานข่าวกรองเริ่มดีขึ้น และมีการจับกุมผู้ต้องหาก่อความไม่สงบได้ 63 คนแล้วนับตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.2547

ทั้งนี้ มาตรา 213 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ระบุว่า ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายไม่ได้

ประชาไทรายงาน