นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานอนุกรรมการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณลำไยอบแห้ง
ซึ่งร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบด้วย เปิดเผยว่า ขณะนี้การตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับลำไยอบแห้ง
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ใกล้ที่จะรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว

เบื้องต้นพบว่าลำไยอบแห้งปี 2545 ที่มีการแจ้งข้อมูลว่ามีปริมาณประมาณ 22,000 ตันนั้น จากการตรวจสอบพบว่า มีการนำลำไยอบแห้งที่มีขนาดเล็กไม่ได้คุณภาพปลอมปนอยู่เป็นจำนวนมาก และจากการตรวจสอบคุณภาพ คาดว่าน่าจะมีถึงประมาณร้อยละ 70 ที่เสื่อมคุณภาพ ทำให้เหลืออีกประมาณร้อยละ 30 เท่านั้น ยังมีคุณภาพอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ลำไยอบแห้งที่มีคุณภาพเกรดดีทั้งหมด ซึ่งเฉพาะลำไยอบแห้งปี 2545 คาดว่ารัฐจะได้รับความเสียหายเป็นมูลค่าถึงประมาณ 4,000 ล้านบาท

ขณะที่ลำไยอบแห้งปี 2546 พบว่า ส่วนใหญ่มีคุณภาพอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ ส่วนลำไยอบแห้งปี 2547 ได้รับความเสียหายไปค่อนข้างมากในลักษณะที่เปลือกเป็นน้ำหมาก ซึ่งลำไยอบแห้งของทั้งสองปีนี้ได้ก่อให้เกิดความเสียหายให้แก่รัฐเช่นเดียวกัน แต่ยังจะต้องใช้เวลาในการประเมินมูลค่าความเสียหายอีกสักระยะหนึ่ง

โดยที่เบื้องต้นคาดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับลำไยอบแห้งปี 2547 น่าจะสูงกว่าปี 2546 เพราะนอกจากคุณภาพจะต่ำกว่าแล้ว ข้อมูลปริมาณลำไยจากเดิมที่แจ้งไว้ประมาณ 90,000 ตันนั้น มีที่จัดเก็บไว้ในโกดังเพียงประมาณ 44,000 ตันเท่านั้น และยังไม่แน่ชัดว่าเมื่อทำการตรวจสอบในครั้งนี้แล้วเสร็จ จะมีปริมาณลดลงไปอีกหรือไม่

"ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับลำไยอบแห้งทั้งหมด จะต้องมีการตรวจสอบต่อไปว่าเกิดขึ้นจากความบกพร่องในการบริหารจัดการหรือการทุจริตหรือไม่ อย่างไร แต่ในการลงพื้นที่ตรวจสอบครั้งนี้เป็นเพียงการลงมาเก็บข้อมูลปริมาณและคุณภาพเท่านั้น

ดังนั้นในการตรวจสอบความบกพร่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นจะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ที่เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงจะต้องดำเนินการ" นายอุบลศักดิ์ กล่าว

สำหรับข้อมูลการลงพื้นที่ตรวจสอบปริมาณ และคุณภาพลำไยอบแห้งในครั้งนี้ นายอุบลศักดิ์ กล่าวว่า จากการแบ่งสายลงตรวจสอบโกดังต่างๆ พบว่ามีหลายแห่งที่พบความผิดปกติ ซึ่งหัวหน้าคณะที่เข้าทำการตรวจสอบได้ทำการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้วในหลายพื้นที่ ส่วนรายละเอียดการแจ้งความเป็นอย่างไรจะต้องมีการรวบรวมสรุปอีกครั้งหนึ่ง