"โพะ ออ แค เหราะ มา ฝะ หยะ ฮะ เธอ ด๊ะ กี ผะ มี วิ ตะ มี ม่าย ต้อ กี ขอ แพ"
เสียงเพลง "เด็กดอยใจดี" ดังขึ้นในหัวสมอง พร้อมๆ กับที่ผมนึกถึงภาพของชาวเขาที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ อย่างเช่นในรายการ "คดีเด็ด" หรือไม่ก็หนังเรื่อง "แจ๋ว" ก็ตามที เรามักจะมองภาพของชาวเขาเพียงแค่ด้านของการพูดไทยไม่ชัดที่กลายเป็นมุขตลกให้เราๆ ท่านๆ นำมาล้อเลียนเท่านั้น
เห็นแล้วก็คิดถึงสมัยก่อนๆ ที่ภาพของชาวไทยเชื้อสายจีนถูกนำเสนอผ่านสื่อในลักษณะคล้ายๆ กัน แต่ก็โชคดีที่ในเวลาต่อมาชาวจีนโพ้นทะเลได้รับการยอมรับมากขึ้นในปัจจุบัน อาจจะด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจละกระมัง
แต่จริงๆ แล้วตัวตนของชาวเขาเป็นอย่างไรกันล่ะ?
ในขณะที่ผมกำลังสงสัยอยู่นั้น พี่เปี๊ยก - ลูกพี่ใหญ่แห่งกองบรรณาธิการ "ประชาไท" ก็ส่งหมายข่าวชิ้นหนึ่งมาให้ผม นั่นคือกำหนดการของงาน "เสียงเผ่าชน คนต้นน้ำ" ที่จัดขึ้น ณ บ้านห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แน่นอนครับ ผมไม่ปฎิเสธแน่ๆ
ในค่ำคืนของอีกวัน-สองวันต่อมา (25 ก.พ. 48) ผมก็เป็นหนึ่งในคณะสื่อมวลชนขนาด 1 แพคเล็กและพี่ๆ น้องๆ จากกลุ่มดินสอสีที่ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่แม่ฮ่องสอนในวันรุ่งขึ้น
ในระหว่างทาง ผมก็นั่งคุยกับสา-เพื่อนจากกลุ่ม "ดินสอสี" ถึงได้ทราบว่างาน "เสียงเผ่าชน คนต้นน้ำ" ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยในสองครั้งแรกถูกจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ คล้ายกับเป็นการนำเสียงจากชนเผ่ามาให้คนเมืองได้รับรู้ แต่ในงานครั้งนี้ คือการนำดนตรีปกากะญอมาเล่นในถิ่นกำเนิด เพื่อคนพื้นถิ่นและเพื่อนจากต่างแดนเข้ามาชม
สายังเล่าให้ผมฟังถึงเตหน่า-เครื่องดนตรีประเภทดีดชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีเฉพาะของปกากะญอว่า
เตหน่าแต่ละตัวจะมีลักษณะเฉพาะของเสียงที่แตกต่างกัน ไม่เหมือนเครื่องดนตรีในระบบอุตสาหกรรมทั่วๆ ไปที่ทุกชิ้นจะออกมาเหมือนกันหมด
"เตหน่าเป็นเครื่องดนตรีที่เรียบง่าย ใช้อุปกรณ์ที่หาได้ทั่วไป อย่างไม้ก็ไปหาเอาจากในป่า สายเบรกรถจักรยาน กระป๋องแป้งตรางูหรือกระป๋องปี๊บ แต่มันก็สามารถสร้างเสียงอันไพเราะได้ ยิ่งถ้าได้เข้าไปสัมผัสมันอย่างใกล้ชิด จะรู้ถึงความไพเราะของมัน" สาบอกกับผม
เราเดินทางกันจนเช้าตรู่ เราก็มาถึงที่ทำการของกลุ่ม "ชุมชนคนรักป่า" เพื่อกินข้าวเช้า และรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จากหลายๆ ที่ เพื่อร่วมเดินทางสู่บ้านห้วยห้อม ซึ่งกว่าเราจะถึงจุดหมายปลายทางก็ปาเข้าไปในช่วงบ่ายแก่ๆ ซะแล้ว
@#@#@#@#@
เมื่อเราถึงที่หมาย ก็พบว่าเวทีคอนเสิร์ตตั้งอยู่บนที่นาขั้นบันไดที่เก็บเกี่ยวแล้ว และเจ้าขั้นบันไดนี่แหละ ที่ที่ทำหน้าที่เหมือนอัฒจรรย์โดยอัตโนมัติ เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งก็จะพบกับหมู่บ้านเต็นท์-ฝูงเต็นท์ที่อาคันตุกะจากต่างถิ่นใช้เป็นที่พักชั่วคราว
อยู่ดีๆ ผมก็คิดถึง บก. พี่เปี๊ยก ที่เรียกชื่องานนี้เล่นๆ ว่า "วู๊ดสต็อก" ประกอบกับบรรยากาศงานที่ผมเห็น ทำให้อยู่ดีๆ ผมก็คิดถึงเพลง WOODSTOCK ขึ้นมาในทันที...
"ให้ฉันร่วมเดินทางไปพร้อมกับท่านได้ไหม
ฉันมาที่นี่เพื่อหลีกหนีหมอกควันพิษ
ฉันรู้สึกตัวเองเป็นเพียงฟันเฟือง
ในบางสิ่งบางอย่างที่กำลังหมุนไป
มันอาจเป็นกาลเวลาแห่งปี หรือมันอาจเป็นกาลเวลาของมวลมนุษย์
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร
แต่ชีวิตก็ย่อมมีการเสาะแสวง...เรียนรู้
เราเป็นละอองดาว เราเป็นธุลีทอง
เราจะพาตัวเองกลับไปสู่อุทยานแห่งมวลมนุษย์
เราเป็นละอองดาว
เป็นธาตุถ่านเก่าแก่นับล้านล้านปี
เป็นเหยื่อการเอาเปรียบของพวกปีศาจร้าย
เราจะพาตัวเองกลับสู่อุทยานแห่งมวลมนุษย์"
(คัดมาจากหนังสือ "ผีเพลง: ดนตรีขบถที่เปลี่ยนแปลงโลก" โดยสิเหร่)
จริงๆ แล้วสิ่งที่ผมรู้สึกก็คงเป็นแค่จริตแบบคนเมือง ที่อาจจะเห็นว่าภาพที่เห็นมันแปลกตา เลยทำให้รู้สึกตื่นเต้น ซึ่งผมรู้สึกว่ามันไม่ได้ผิดอะไรเลยที่จะรู้สึกแบบนั้น แต่มันคงเป็นเรื่องแย่ ถ้าเรารู้สึกได้เพียงเท่านั้น
เมื่อเรียวมือแห่งรัตติกาลและความหนาวเย็นเริ่มเคาะประตูบ้านห้วยห้อม เวลาของการแสดงก็เริ่มขึ้น เสียงเพลงมากมายเข้าสู่โสตสัมผัสของผม ทั้งเสียงของเครื่องดนตรีพื้นถิ่นอย่างเตหน่า ที่ผมไม่เชื่อว่าวัสดุเหลือใช้ต่างๆ จะสามารถสร้างเสียงดนตรีได้ไพเราะ หรือเครื่องดนตรีที่เราคุ้นตาอย่างกีตาร์ เบส กลองชุดก็ตามที
แต่เกือบทั้งหมด ถูกถ่ายทอดด้วยภาษาปกากะญอ แม้จะมีภาษาไทยแซมบ้างในหลายๆ เพลง แต่ก็ต้องยอมรับว่าสำหรับผู้ที่ฟังเพลงแบบนี้เป็นครั้งแรกแบบผม ก็เหมือนกับการได้ชิมอาหารที่ไม่คุ้นลิ้น ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะลิ้มรสมัน "เป็น" (แม้กระทั่งตอนนี้ ผมก็ยอมรับว่าผมยังไม่เข้าใจดนตรีปกากะญอมากนัก ซึ่งก็คงเป็นเหตุให้ผมไม่ยอมพลาดงานๆ หนึ่งที่กำลังจะถูกจัดขึ้นในเดือนเมษายนนี้ เดี๋ยวผมจะมาบอกตอนท้ายบทความแล้วกันครับว่ามันคืองานอะไร)
@#@#@#@#@
นอกจากจะมีดนตรีปกากะญอแล้ว ยังมีการแสดงละครเวที "หน่อหมื่อเอ" ที่คณะละครมะขามป้อมร่วมกับเยาวชนในพื้นที่นำเพลงทา (เพลงพื้นบ้าน) มาทำให้เป็นละคร ซึ่งก็ต้องยอมรับเหมือนกับที่เขียนไว้ในย่อหน้าที่แล้วแหละครับ ว่าตอนแรกๆ ผมดูไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่ ด้วยอุปสรรคทางภาษา แต่ก็โชคดีที่หลังจากวันงาน ผมบังเอิญพบหนังสือ "เพลงภูเขา เสียงชนเผ่า คีตกวีแห่งโลก" เขียนโดยคุณหญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง (นามปากกาของคุณสุวิชานนท์ รัตนภิมล ศิลปินจากดินแดนด้ามขวานที่หลงเสน่ห์ดนตรีชนเผ่า จนถึงขนาดเคยทำอัลบั้มร่วมกับลีซะ-ศิลปินป่าจากบ้านแม่แฮคี้มาแล้ว) ที่ร้านเล่า-ร้านหนังสือ "แนวๆ" กลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งในนั้นก็มีคำแปลของ "ทา" หน่อหมื่อเออยู่ด้วย
"ฟืนเจ็ดกอง นับเตรียมไว้ให้
น้ำเจ็ดไห ฉันเตรียมไว้ให้
ฉันจะไปตีตุ้มหูให้เธอ
เธออย่าออกไปนอกบ้าน ฉันรู้สึกไม่ดี
นางหมื่อเอไม่เชื่อฟังผัว
ปล่อยหมูออกคอกร่อนเร่ป่าเขา
นางหมื่อเอตามหาหมู
ถูกงูใหญ่ฉุดร่างนางไป
นกเขาเอ๋ย เจ้าจงไปบอกเจาะสู่ลอวา
หน่อหมื่อเองูใหญ่ฉุดไป
นกเขาบินไปส่งข่าวที่เซอกูกรูฮ่อกูๆ
งูใหญ่ฉุดนางหมื่อเอไป
กลับมาไวไว คูหน่อเล
"
นิทานเรื่องนี้เสมือนเป็นคำทำนายอนาคตว่าต่อไปงูยักษ์จะชุกชุม และกัดกินชาวบ้านจนบ้านเรือนรกร้าง และความลำบากยากแค้นจะมาพร้อมกับเจ้างูใหญ่
คล้ายกับว่างูตัวนั้นคือความเจริญที่กำลังตามมาคุกคามวิถีชีวิตดั้งเดิมของชนเผ่าปกากะญอในปัจจุบัน
@#@#@#@#@
แสงอาทิตย์ลับหายไปนานแล้ว ความหนาวเย็นปรากฎกายขึ้นแทน คนที่อยู่ไม่ไหวก็กลับที่พักหรือกลับเต็นท์ ที่ยังอยู่กันต่อก็นั่งก่อไฟเพื่อขอความร้อนจากไฟ หรือไม่ก็ขดตัวใต้เสื้อกันหนาวขนาดหนาเพื่อซุกไออุ่นจากตัวเอง การแสดงบนเวทีก็ยังดำเนินต่อไป
เสียงดนตรีก็ยังดังไม่ขาดสายจากฝีมือของนักดนตรีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลีซะ-สุวิชานนท์, ตือโพ (ที่มีคนขนานนามให้เขาเป็น "เบิร์ด-ธงไชยของคนกระเหรี่ยง" ), ชิ สุวิชาน ฯลฯ รวมถึงวงใต้สวรรค์ (อาคันตุกะจากดินแดนด้ามขวาน ที่นำจังหวะดนตรีแบบรองเง็งประกอบการเชิดหนังตะลุงมาถึงดินแดนหุบเขา) และวง "สุดสะแนน" ที่มีดีกรีถึงขนาดเคยได้รางวัลชนะเลิศจากการประกวดดนตรีเพื่อชีวิต "คีตตุลากาล" เมื่อคราวงาน 30 ปี 14 ตุลาฯ โดยมีกองไฟถูกจุดขึ้นที่หลังเวทีเป็นเครื่องบรรเทาความหนาว
เวทีกลางป่าในค่ำคืนนั้นปิดท้ายด้วยการแสดงของทองดี ตุ๊โพ - ศิลปินที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นพงษ์เทพ กระโดนชำนาญแห่งชาวปกากะญอ ที่มาปิดท้ายค่ำคืนด้วยเพลงสามช่าโจ๊ะๆ ที่ปลุกผู้ฟังที่ยังโต้ลมหนาวด้วยกันได้อย่างชะงัดนัก
ในจังหวะโจ๊ะๆ นั่นเอง ก็มีเนื้อเพลงทั้งภาษาปกากะญอและไทยแหวกว่ายอยู่ในนั้น...
"เจ้าไปศึกษาเล่าเรียน เจ้ามีวิชาความรู้
ชนเผ่าบ้านป่าบ้านดอย ยินดีถ้าเจ้าจะมา
เจ้าก็อย่าหลงกรุง บ้านป่าคือบ้านเกิดเมืองนอน
เจ้าเป็นธิดาบนดอย เจ้าคือความหวังชนเผ่า
เจ้าต้องรักประเพณี เจ้าต้องรักการแต่งกาย
เจ้าต้องเลี้ยงไก่เลี้ยงหมู เจ้าต้องพูดภาษาตัวเอง
เจ้าต้องเลี้ยงไก่เลี้ยงหมู เจ้าต้องพูดภาษาปกากะญอ..."
@#@#@#@#@
ผมและเพื่อนร่วมทางกำลังนั่งคุยกับศิลปินชนเผ่าที่บ้านหลังหนึ่งข้างๆ โบสถ์คริสต์ประจำหมู่บ้าน ในเช้าวันหลังงานคอนเสิร์ต เหมือเป็นการเติมเต็มสิ่งที่ไม่เข้าใจ อันเนื่องมาจากอุปสรรคด้านภาษา
"สมัยก่อนกระแสสังคมบอกว่าชาวเขาทำลายป่า บ้างก็บอกว่าชาวเขามีผลต่อความมั่นคงของประเทศ เราจึงต้องการใช้เสียงเพลงเพื่อเล่าเรื่องราวของเราให้คนได้เข้าใจ แต่ก็มีกำแพงบางอย่างกั้นอยู่ เพลงที่เราทำจึงเผยแพร่ในวงจำกัด ต่อมาน้องนนท์ (สุชานนท์ รัตนภิมล) ก็เดินทางมาตามหา และก็พาศิลปินชาวเขาไปเล่นที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากนั้นเราจึงรู้สึกว่ากำแพงที่เคยมีอยู่ได้พังทลายไปแล้ว เราเลยตั้งใจสร้างเพลงต่อไป งานเสียงเผ่าชนฯ ก็เป็นเหมือนกับช่องทางในการบอกเล่าเรื่องราวของพวกเรา เพื่อสร้างความเข้าใจกับคนเมืองถึงวิถีชีวิตของพวกเรา" ทองดี ตุ๊โพ เล่าให้เราฟัง
ทองดียังเล่าให้เราฟังต่อว่า "ปัจจุบันศิลปินปกากะญอรุ่นแรกๆ ตั้งแต่สมัยงานเสียงเผ่าชนฯ ครั้งแรกก็เริ่มจะโรยรากันแล้ว เราจึงเริ่มเสาะหาศิลปินรุ่นใหม่ๆ เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมต่อไป"
"รากเหง้าของศิลปินปกากะญอเกิดจากความรัก และความรู้สึกดีๆ โดยมีรากเหง้ามาจากเพลงพื้นบ้านและความเชื่อต่างๆ เป็นพื้นฐานในการเขียนเพลง เพลงเหล่านี้อยู่ในวิถีชีวิตของพวกเขา ในการร้องเล่นในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อหวังจะออกเทป ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสวยงาม" สุวิชานนท์ รัตนภิมล ผู้ที่เริ่มนำเสียงจากคนต้นน้ำเข้าสู่เมืองพูดถึงแรงที่ทำให้เขาประทับใจในเพลงจากป่า
ตือโพ-ศิลปินปกากะญอที่น่าจะเป็นที่รู้จักที่สุดเล่าถึงจุดเริ่มต้นของวิถีศิลปินของเขาว่า "ตั้งแต่เด็กๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะร้องเพลง เล่นดนตรี แต่ว่าก็จะใช้เตหน่าบรรเลงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงแบบใดก็ตาม เพราะถ้าเครื่องดนตรีอย่างกีตาร์หรืออิเล็กโทนพัง เราไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ แต่เราสามารถสร้างเตหน่าขึ้นเองได้"
"เสียงที่หลายๆ คนบอกว่าอยากให้อนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้านเอาไว้ ก็เป็นแรงที่ทำให้ทำงานต่อไป อย่างทุกวันนี้ก็พยายามสร้างคนรุ่นใหม่ๆ เพื่อสืบสานเตหน่าให้คงอยู่ต่อไป ตอนนี้ก็มีลูกศิษย์ที่เป็นมือเตหน่ารุ่นใหม่ๆ ฝีมือดีอยู่แล้วไม่ต่ำกว่า 10 คนที่กำลังฝึกหัดอยู่ ซึ่งก็อยากให้เขาอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมต่อไป" เตหน่าพูดถึงสิ่งที่เขาทำอยู่
ด้านลีซะ-ศิลปินปกากะญอที่ร่วมงานกับสุวิชานนท์มาตลอด เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นที่เขาเริ่มต้นทำเพลงว่า "สมัยนั้นความเหลื่อมล้ำในสังคมมีอยู่เยอะ ทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจต่อเรื่องชาวเขา เลยอยากจะใช้ดนตรีเป็นเครื่องมีอในการเล่าเรื่องราวให้คนเมืองได้มีโอกาสฟัง"
"อย่างในปัจจุบัน การที่เราได้ลงไปเล่นให้คนเมืองฟัง ประกอบกับการที่สื่อมวลชน และผู้คนจากหลายๆ ฝ่ายให้ความสนใจ ทำให้ดนตรีชนเผ่าเติบโตมากขึ้น สำหรับเรื่องความเข้าใจนั้น ก็เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะสร้าง แม้กระทั่งกับคนชนเผ่าด้วยกันเอง เวลามาเล่นดนตรีก็จะถูกสงสัยว่ามาเคลื่อนไหวอะไรหรือเปล่า หรือตอนที่มาเล่นในงานเสียงเผ่าชนฯ ครั้งก่อนๆในกรุงเทพฯ ก็มีคนมาถามว่าได้เงินมาเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้มาทางสายมายา เคยมีร้านอาหารใหญ่ๆ ในเมืองมาจ้างพวกเราให้ไปเล่นประจำด้วยค่าจ้างเดือนละหลายหมื่นบาท แต่ก็ไม่มีใครไป เพราะว่าไปเล่นให้คนเมาฟังไม่ออก เราอยากจะเล่นให้คนที่ตั้งใจมาฟังเราจริงๆ" ลีซะเล่าให้พวกเราฟัง
สำหรับศิลปินปกากะญอหนุ่มรุ่นใหม่อย่างชิ-สุวิชาน พัฒนไพรวัลย์ ที่เติบโตมาท่ามกลางโลกที่กำลังหมุนเปลี่ยนจากสมัยที่ศิลปินรุ่นแรกๆ ถางทางเอาไว้ เล่าให้เราฟังถึงสิ่งที่เขาพบจากการเข้าไปเรียนในสังคมเมืองว่าว่า "โรงเรียนในเมืองแยกออกจากชุมชน ไม่ได้มีการสอนเรื่องชุมชนเลย คนเมืองก็มักจะมองว่าเราแปลกแยกออกจากคนอื่นๆ ด้วยการที่เกิดมาในสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องใช้ความพยายามในการค้นหาตัวตน แต่การได้เติบโตในพื้นที่ป่าสนวัดจันทร์ ที่มีปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรในช่วงปี 2532-2536 ทำให้ได้เห็นพลังของคนพื้นถิ่น และภูมิปัญญาต่างๆ ก็ปรากฏออกมาในช่วงนี้ เหมือนตะกอนที่เคยนอนก้นในน้ำถูกคนจนลอยขึ้นมาอีกครั้ง"
ชิยังเล่าให้ฟังถึงเหตุที่ทำให้เขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องราวของพวกเขา "มีคนจำนวนมากสนใจเรื่องราวของปกากะญอ แต่ก็มีความเข้าใจไม่ถูกต้องนัก จึงต้องใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องราว โดยเดินตามทางที่นักดนตรีรุ่นพี่ๆ ถางทางเอาไว้ เพราะถ้าไม่มีใครก้าวต่อไป สิ่งที่คนรุ่นก่อนได้ทำไว้ก็จะไม่มีความหมาย" ชิยังเล่าถึงเพลงของเขาว่า "เพลงเกือบทั้งหมดมาจากสิ่งที่ได้ฟังจากผู้เฒ่าผู้แก่ ไม่ได้มาจากตัวผมเอง ผมไม่ใช่นักแต่งเพลง เป็นแค่คนบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้น"
"ถ้าเรามีความเข้าใจกัน ความเห็นอกเห็นใจในวิถีชีวิตที่ต่างกันก็จะตามมาด้วย แต่ถ้าจะให้คนเมืองขึ้นมาบนป่าเพื่อให้มาเข้าใจชีวิตคนป่าก็คงเป็นไปไม่ได้ เราจึงทำหน้าที่เหมือนกับนกเขาป่าที่จะบินข้ามพรมแดนป่าไปบอกเล่าเรื่องราวสู่คนภายนอกได้รู้ว่าเราคิดอย่างไร" ชิบอกกับเราถึงสิ่งที่เขาคิด
@#@#@#@#@
"โพะ ออ แค เหราะ มา ฝะ หยะ ฮะ เธอ ด๊ะ กี ผะ มี วิ ตะ มี ม่าย ต้อ กี ขอ แพ"
เสียงเพลงๆ เดิมที่ดังตอนต้นบทความดังมาในหัวของผมอีกครั้ง พร้อมกับการคิดถึงฟองสบู่ความเกลียดชังที่ถูกมือชื่อ "ชาตินิยมแบบลืมหูลืมตา" ตีจนฟูฟ่องเมื่อช่วงเหตุการณ์ทางภาคใต้
ดูเหมือนน้องมายด์กับเหตุการณ์ทางภาคใต้มันเป็นคนละเรื่องกันนะครับ แต่ถ้าคิดดีๆ ผมรู้สึกว่าภาพของคนหลายกลุ่มหลายพวกในสังคมที่เราเป็นสมาชิกอยู่กำลังถูกมองด้วยภาพเพียงภาพเดียว ทั้งๆ ที่โลกไม่ใช่รูปถ่ายที่เรามองเห็นแค่มุมเดียว หากมันเป็นภาพหลากมิติที่หากมองในมุมที่ต่างกัน ภาพที่เห็นก็คงต่างกันไป
เพลงของน้องมายด์ หรือความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ภาคใต้ที่ถูกเทไปยังมุมใดมุมหนึ่งนั้นไม่ได้ผิดหรอกครับ แต่มันผิดตรงที่ว่ามันมีภาพให้เราเห็นแค่นั้น
เราคงต้องหาทางมองสังคมเราให้กว้างขึ้น เพื่อความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจจะเกิดขึ้นตามมาครับ
ปล. ประตูแห่งการรับรู้เรื่องของเพื่อนร่วมสังคมของเรากำลังจะถูกเปิดอีกครั้งที่งาน "มหกรรมห้องเรียนชุมชน" ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1-3 เมษายน ณ สำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งในงานนี้จะมีละครนิทาน "หน่อหมื่อเอ" ให้ได้ชมกันด้วยครับ
เด็กใหม่ในเมือง