Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ช่างเป็นภาพที่ขัดแย้งกันเสียจริงๆ...

รัฐบาลทักษิณได้อนุมัติงบประมาณเพื่อจัดงานวันวิสาขบูชา ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา เชิญประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วม โดยกำหนดให้ใช้วงเงินไม่เกิน 86 ล้านบาท

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลทักษิณก็ได้อนุมัติงบประมาณตามคำขอของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา เพื่อนำไปสนับสนุนค่าใช้จ่ายแก่บริษัทเอกชนที่จัดงานประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2005 เป็นจำนวนเงิน 6.5 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 255 ล้านบาท !

งานหนึ่งจะเป็นการเน้นให้ประชาชนเข้าใจหลักธรรม มีการเทศน์บรรยายธรรมสวดมนต์ แต่อีกเวทีหนึ่งจะเป็นการ "เพ่งพินิจ" จับจ้องสาวงามในอิริยาบทต่างๆ ทั้งลีลาการเต้นและทรวดทรงเรือนกายในในชุดว่ายน้ำ

จะได้ดวงตาเห็นธรรมกันก็คราวนี้เอง!

ช่วงนี้ ถ้าใครไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กันจริงๆ ก็คงจะเห็นข่าวคราวที่มีสาวงามนานาชาติเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในหลายๆ เรื่อง

ประเดี๋ยวก็มีข่าวรัฐมนตรีสมศักดิ์เข้าต้อนรับสาวงามนานาชาติบ้าง ข่าวบริษัทธุรกิจผลิตเครื่อง สำอางและชุดแต่งกายเข้ามาสนับสนุนชุดว่ายน้ำของผู้เข้าประกวดบ้าง ข่าวบริษัทสายการบินสนับสนุนการเดินทางของนางงามบ้าง ข่าวการแจกบัตรโทรศัพท์ให้สาวงามโทรกลับบ้านบ้าง ข่าวสาวงามไปร่วมงานคอนเสิร์ตกับนายกรัฐมนตรีบ้าง ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ พูดกันตรงไปตรงมาก็คือ ขบวนการเกาะเกี่ยวสาวงามเพื่อผลประโยชน์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าของบริษัทธุรกิจนั่นเอง

ไม่น่าแปลกใจ ถ้าเราจะเห็น "ขบวนการแปลงสาวงามให้เป็นทุน" ต่อไป โดยเฉพาะฝ่ายธุรกิจเอกชนที่ลงเงินกันทำธุรกิจประกวดผู้หญิงในครั้งนี้ เพราะธุรกิจเอกชนเขาย่อมถือเป้าหมายกำไรสูงสุดเหนืออื่นใด จะใช้วิธีการใดๆ ใช้ใครหรือสิ่งใดเป็นเครื่องมือเพิ่มยอดขาย เพิ่มยอดเงินเข้าบริษัท ก็ไม่ขัดเขิน

น่าแปลกใจ เห็นข่าวองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ร่วมจัดกิจกรรม "รับประทานอาหารค่ำกับสาวงามผู้เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส" เพื่อระดมทุนหารายได้ นำรายได้บางส่วนของการจัดงานสมทุบ "กองทุนเครือข่ายสังคม" (Safety Net Fund) ของมูลนิธิเอดส์แห่งประเทศไทย และคณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ที่ทำงานสร้างสรรค์เพื่อสังคมในปัญหาด้านเอดส์

ถึงกับออกตระเวนขายบัตรร่วมโต๊ะอาหารค่ำกับสาวงามนานาชาติ มีบัตรหลายแบบหลายราคา หลายระดับ ได้แก่ บัตรระดับแชมเปี้ยน จ่าย 400,000 บาท แลกกับการได้ร่วมโต๊ะกับสาวงาม สามารถจำเพราะเจาะจงเลือกได้ด้วยว่าจะให้สาวงามคนไหน "ร่วมโต๊ะ" แถมได้ขึ้นพูดบนเวทีอีก 5 นาที!

นอกจากนี้ก็มีบัตรระดับผู้อุปถัมภ์ จ่าย 200,000 บาท บัตรระดับผู้อุปการะคุณ จ่าย 60,000 บาท และถูกสุด บัตรระดับแฟน ราคา 10,000 บาท แลกกับสิทธิประโยชน์ลดหลั่นกันไป

ทั้งหมดนี้ ยืนยันว่า ผู้ซื้อบัตรทุกคน จะได้นั่งประชิดติดกับสาวงามผู้เข้าประกวดอย่างแน่นอน!

สงสัยว่า จะนั่งติดกับสาวงามไปทำไม ถ้าหวังว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมก็ผิวเผินเกินไป ไม่มีน้ำหนัก แต่ถ้าหวังจะได้สัมผัสชิดใกล้ เรือนกายสาวสวย เพ่งพินิจสาวงามเต็มตา ไม่รู้ว่าจะกินข้าวหรือกินอะไรกันแน่

พูดตามความสัตย์จริง งานนี้ไม่สงสัยในเจตนาหรืออุดมการณ์ที่มุ่งมั่นทำงานสร้างสรรค์เพื่อสังคมขององค์กรพัฒนาเอกชนในด้านเอดส์เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่สงสัยว่า ทำไมคนที่มีอุดมการณ์ มีผลการทำงานเพื่อผู้อื่น ทำงานเพื่อสังคม จำต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ตื้นเขิน "เพื่อหาเงินทุนไปใช้ทำงานเพื่อสังคม"

แต่เห็นใจ องค์กรพัฒนาเอกชนไทยในยุคทักษิณ ถูกตัดตอน ตัดน้ำเลี้ยง ตัดช่องทางการสนับสนุนส่งเสริมการทำงานเพื่อสังคม จนต้องอาศัยวิธีการเยี่ยงบริษัทเอกชนที่หวังแต่ผลกำไร

อย่าลืมว่า การจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สนั้น มิได้เป็นกิจกรรมขององค์กรระหว่างประเทศแต่อย่างใด แต่เป็นกิจกรรมที่หวังผลทางธุรกิจของบริษัทเอกชนโดยตรง โดยมีบริษัทแม่ตัวหลักตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา ตั้งชื่อเสียให้โก้เก๋ว่า "บริษัท มิสยูนิเวิร์ส อิงค์" ทำมาหากินกับการจัด "ประกวดผู้หญิง" เอาผลประโยชน์จากค่าโฆษณา ค่าผู้สนับสนุนการประกวด ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดการประกวด และค่าลิขสิทธิ์การจัดประกวดในระดับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ก่อนจะจัดประกวดใหญ่ เรียกหรูๆ ว่า "นางงามจักรวาล" กันอีกทีหนึ่ง

อย่างผู้ชนะประกวดในระดับประเทศไทยของเรา ก็ได้ตำแหน่งมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส รับรางวัลเงินสดหนึ่งล้านบาท มงกุฎเพชร และเครื่องประดับ รถยนต์ ชุดคอมพิวเตอร์ พร้อมเป็นตัวแทนเข้าร่วมประกวดมิสยูนิเวิร์ส เป็นต้น

อันที่จริง นางงามที่ประกวดกันนี้ ควรจะเรียกว่า นางงามของบริษัทยูนิเวิร์ส เพราะต้องมีสัญญากับบริษัท ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อหาผลประโยชน์ทางธุรกิจให้กับบริษัทในระยะเวลาหนึ่ง แทบไม่ต่างจากสาวพริตตี้ที่สังกัดอยู่ตามบริษัทธุรกิจต่างๆ ในบ้านเรา

ดูง่ายๆ ประกวดมิสยูนิเวิร์ส ครั้งนี้ เป็นการทำธุรกิจ "ประกวดผู้หญิง" ระหว่างบริษัทเอกชนฝ่ายไทยทำสัญญากับบริษัท มิสยูนิเวิร์ส อิงค์ ประกอบด้วย บริษัทกรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ บริษัทบีบีทีวีโปรดัคชันส์ และบริษัทแม็ทชิ่งสตูดิโอ ซึ่งล้วนแต่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสื่อและโฆษณา

ผลประโยชน์ตอบแทนทางธุรกิจก็จะได้จากการ "ขาย" สาวงามที่เข้าประกวด ในรูปของภาพลักษณ์ การโฆษณาสินค้า การแปลงสาวงามให้เป็นกำไร

เห็นใจ องค์กรพัฒนาเอกชนที่มีอุดมการณ์ แต่ในยุคนี้ ต้องจำยอมรับวิธีการทำธุรกิจของเอกชนเยี่ยงนี้

ต้องตำหนิรัฐบาลทักษิณ ที่ละเลย ไม่ส่งเสริม และทำลายองค์กรพัฒนาเอกชน แล้วยังมีหน้าใช้เงินภาษีอากรของประชาชนทั้งประเทศไปสนับสนุนวิธีการทำธุรกิจเยี่ยงนี้

ไม่อยากจะเห็นลูกหลานของเรา มีค่านิยม โตขึ้น "อยากสวย อยากรวย อยากเด่น"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net