"เกลียดตุ๊ด...เกลียดตุ๊ด...เกลียดตุ๊ด...เกลียดตุ๊ดจริงๆ โว้ย..ย..ย..ย..ย"
เสียงดนตรีร็อคกระแทกกระทั้น สลับกับเสียงร้องตะโกนของเพลง "เกลียดตุ๊ด" ของ Sepia - เพลงอื้อฉาวที่เคยสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในบรรดาผู้ที่ปากถือศีล (แต่มือจะถืออะไรอยู่นั้น...ก็ไม่ทราบได้) ดังออกจากลำโพงของเครื่องเล่นเทปในบ้านของผม
ได้ยินแล้วก็พาลให้คิดถึงสมัยมัธยม ที่โรงเรียนเก่าของผมก็มีเพื่อนร่วมโรงเรียนที่เป็นเพศที่สามอยู่ไม่น้อย และในงานกินเลี้ยงประจำปีของโรงเรียนทุกๆ ปี ก็จะเป็นโอกาสที่เพศที่สามเหล่านี้จะได้แสดงถึง "เพศในใจ" ของตัวเองอย่างเต็มที่
ผลที่ได้รับคือการบรรณาการด้วยนิ้วกลาง และห่าฝนน้ำแข็งก้อนจากน้ำมือของบรรดา "ชายจริง" (แต่ไม่มี "หญิงแท้" เนื่องจากโรงเรียนที่ผมอยู่เป็นโรงเรียนชายล้วนครับ) จนต้องวิ่งหลบกันแทบไม่ทัน
ผมแต่งตัว เตรียมออกจากบ้านไปยังโรงหนัง House พร้อมๆ กับเสียงตัวโน้ตสุดท้ายของเพลงๆ เดิมที่ดังไล่หลังมาว่า... "กรูจะฆ่ามึ๊ง..."
V^V^V^V^V^V
หลังจากที่งาน "สังวาสเสวนา" สองครั้งแรกพาเราไปสัมผัสมุมมองเรื่องเพศและครอบครัวในมุมที่แตกต่าง และเป็นมุมที่สร้างความเข้าในเรื่องเหล่านั้นให้มากขึ้นแล้ว มาคราวนี้ "สังวาสเสวนา" ก็กรีฑาทัพไปถึงโรงภาพยนตร์ House RCA ในหัวข้อ "เรื่องธรรมดาของเรา" โดยงานในครั้งนี้เน้นไปที่การพูดถึงเพศที่สามเป็นหลัก โดยมีผู้เข้าร่วมเสวนาเป็น "ผู้รู้" อย่าง เจ๊เดย์-เดชาวุฒิ ฉันทะกาโร นางโชว์และแอคติ้งโค้ชชื่อดัง, ยอด-วิทยา แสงอรุณ คอลัมน์นิสต์, เล็ก-ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ จากกลุ่มสะพาน-กลุ่มที่ทำหน้าที่สื่อสารเรื่องหญิงรักหญิงกับสาธารณชน, พ.ญ. อัมพร เบญจพลพิทักษ์ จิตแพทย์ โดยมี เฮนรี่ จ๋อง(พงศนรินทร์ อุลิศ) เจ้าบ้านจากโรงหนัง House ทำหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ
งานเสวนาเริ่มต้นด้วยคำถามว่าจริงๆ แล้ว มันมีเพศอะไรอยู่บ้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมเสวนาทุกท่านต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าแบ่งกันสภาพร่างกาย ก็แบ่งได้เป็นชาย หญิง และ Intersexual (ผู้ที่มีอวัยวะของทั้งสองเพศ) แต่สำหรับในเรื่องของจิตใจและรสนิยมทางเพศนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแบ่งได้โดยง่าย แม้จะมีหลายๆ คนพยายามแบ่งประเภท เช่น เกย์, เกย์คิง, เกย์ควีน ฯลฯ แต่จริงๆ แล้วก็ไม่สามารถจะแบ่งประเภทได้ชัดเจน เพราะมันขึ้นอยู่กับทัศนคติและรสนิยมทางเพศของแต่ละคนด้วย
เมื่อพูดถึงสาเหตุที่ทำให้คนทั่วไปตั้งแง่กับมองเพศที่สามนั้น ยอดมองว่า "เมื่อพูดถึงเพศที่สามนั้น คนมักจะพูดถึงโดยใช้อคติประกอบกันด้วย เช่น การเชื่อว่ากระเทยต้องบ้าเซ็กส์ เลสเบี้ยนต้องมีอารมณ์รุนแรง ฯลฯ ดังนั้นก็ต้องถามกันว่าถ้าจะพูดถึงเพศที่สาม จะพูดโดยใช้สิ่งที่เป็นอยู่จริงหรืออคติกันแน่"
เดย์แสดงความคิดเห็นกับเรื่องนี้ว่า "ในสังคมที่มีชายเป็นใหญ่นั้น หากมีเพศชายกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีความแปลกกว่าคนอื่นขึ้นมา ผู้ชายส่วนใหญ่จะพยายามกดคนกลุ่มนั้นลงเพื่อรักษาสถานภาพของตัวเอง ในขณะที่ผู้หญิงก็จะพยายามกดผู้ชายกลุ่มนั้นลงไปอีก เพื่อจะได้ขึ้นมามีสถานภาพที่สูงขึ้น" แต่เดย์บอกว่า เขาไม่ได้ประสบปัญหานี้สักเท่าไหร่ เพราะเขาเปิดเผยแบบนี้มาตั้งนานแล้ว จนคนรอบข้างของเขายอมรับว่ามันเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว"
แต่ถึงกระนั้น เดย์ก็ยังพบกับปัญหาในการใช้ชีวิตอยู่บ้าง "เราจะถูกห้ามเข้าในที่ๆ เขาเปิด lady night หรือในที่ๆ ให้ผู้หญิงเต้นกับผู้ชายเท่านั้น แม้แต่การเข้าห้องน้ำ ถ้าเราห้องน้ำชาย ก็ถูกหาว่าจะเข้าไปแอบดู แต่ถ้าเราเข้าห้องน้ำหญิง มันก็ดูกระไรอยู่อีกนั่นแหละ"
เล็กมองในอีกมุมว่า "ผู้ที่เปิดตัวเองอย่างแจ่มชัดจะได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ที่ไม่เปิดเผยให้คนอื่นรับรู้ อย่างในเรื่องของหน้าที่การงาน ก็มักจะมีการตั้งคำถามถึงความสามารถในการบริหารงานในระดับสูงจากเพื่อนร่วมงานเสมอๆ"
ในเรื่องของการแสดงออก ที่หลายคนมองว่าเพศที่สามมักจะแสดงออกถึงความเป็นตัวเองอย่างเด่นชัดเกินไปจนน่าเกลียดนั้น พ.ญ. อัมพรมองว่า "เด็กในวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการความใส่ใจจากคนรอบข้าง แต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร จนทำให้พวกเขาแสดงออกมากจนกลายเป็นการเรียกร้องความสนใจ"
ยอดมองว่า "ในบางครั้ง การแสดงออกหลายๆ อย่างที่หลายคนอาจมองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจนั้น บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำอย่างนั้นให้คนอื่นเห็น แต่เขาทำอย่างนั้นอยู่แล้ว อย่างการเดินตูดบิดของกระเทยที่บางคนมองว่าเขาทำเพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจ แต่จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งที่ติดตัวพวกเขาอยู่แล้ว"
เดย์แสดงความเห็นว่า "สังคมในตอนนี้ขาดคนที่จะคอยแนะนำให้พวกเขาเป็น "กุลเกย์" และ "เยาวตุ๊ด" ที่ดี ที่จะนำพลังที่เขามีมาใช้เพื่อพัฒนาความสามารถของตัวเอง"
มีคำถามเกิดขึ้นในวงเสวนาว่า ถ้าหากผู้ปกครองเริ่มสงสัยว่าลูกตัวเองมีแนวโน้มจะเป็นเพศที่ ๓ นั้นควรจะทำอย่างไร ซึ่ง พ.ญ. อัมพรแนะนำว่า ต้องเริ่มจากที่ผู้ปกครองต้องใจเย็นๆ ทำใจให้สงบ และควรให้ความสำคัญกับสัมพันธภาพระหว่างเรากับลูก ควรหาโอกาสสื่อสารกับลูกโดยหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ จากนั้นควรหาต้นแบบที่ดีให้กับลูก และที่สำคัญต้องคำนึงอยู่เสมอว่าชีวิตของลูกนั้นเป็นของตัวเขาเอง
สำหรับผู้ที่กำลังสับสนว่าตัวเองเป็นหรือไม่ เดย์แนะนำว่า "ก่อนอื่นต้องถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร โดยศึกษาจากสื่อต่างๆ ประกอบไปด้วย เมื่อพบว่าตัวเองต้องการอะไรแล้วก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ให้คนในสังคมยอมรับ"
พ.ญ. อัมพรเสริมว่า "ในช่วงแรกที่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นจะเกิดความรู้สึกผิด ควรหาเพื่อนปรับทุกข์และหาความรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจ รวมทั้งหากลุ่มเพื่อนที่สร้างสรรค์ด้วย"
ก่อนที่วงเสวนาในวันนั้นจะจบลง มีบทสรุปที่ทุกคนในวงนำเสนอออกมา มาแวะฟังกันก่อนแล้วกัน
ยอด-อยากให้ทุกคนใจกว้างจะยอมรับฟังพวกเรา ถ้ามีเรื่องที่สงสัย ก้ลองถามพวกเรา หรือไม่ก็ลองหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และสำหรับพ่อ-แม่ที่ลูกเป็นแบบนี้ ก็อยากให้พ่อ-แม่ได้เรียนรู้พร้อมๆ กับลูกด้วย
เล็ก-เราไม่ได้ต้องการการยอมรับจากสังคมมากว่าคนอื่นเป็นพิเศษ พวกเราแค่ได้การยอมรับจากคนในสังคมทัดเทียมกับคนอื่นๆ เท่านั้น
เดย์-อยากให้พวกเรายอมรับในสิ่งที่ตัวเราเองเป็น เพราทุกวันนี้สังคมกำลังปรับตัวด้วยตัวของมันเองอยุ่
พ.ญ. อัมพร-ถ้าเราเป็นมิตรกับสังคม สังคมก็จะเป็นมิตรกับพวกเราตอบแทน
V^V^V^V^V^V
"ฉันอยากบอกรัก และฉันอยากโทรหา
อยากเดินควงแขน อยากชวนดูหนัง
อยากหอมสักครั้งจริงๆนะให้ตาย
อยากบอกความในให้รู้ทุกสิ่ง แต่เราเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย
ไม่ใช่ผู้ชาย.. ไม่ใช่ผู้ชาย.."
ใครจะเชื่อว่าเพลงๆ นี้ ที่พูดถึงเพศที่สามอย่างอ้อมๆ (ลองนั่งคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าจะพูดถึงผู้หญิงจริงๆ ทำไมถึงเน้นคำว่า "ไม่ใช่ผู้ชาย" มากเสียขนาดนั้น) ในแง่มุมน่ารักแบบนี้ จะเป็นฝีมือการเขียนของคนๆ เดียวกับที่ทำเพลงอย่าง "เกลียดตุ๊ด"
อาจจะด้วยเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้การยอมรับ และความเข้าใจในเรื่องเพศที่สามนั้นมากขึ้นไปด้วย แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังเห็นมุมมองที่เหมือนก้อนน้ำแข็งที่ขว้างใส่พวกเขา ด้วยมือของผู้ใหญ่ใจแคบผ่านทางสื่อต่างๆ ก็ยังมีให้เห็นอยู่
เสียงจากพวกเขาในครั้งนี้ จะมีใครได้ยินบ้างหนอ...
ภาณุวัฒน์ อภิวัฒนชัย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)