ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกลำไยทั้งประเทศประมาณ 618,128 ไร่ เป็นไม้ผลสำคัญของของหลายจังหวัดในภาคเหนือ ปัญหาที่ชาวสวนลำไยประสบมาช้านานคือการออกดอกแบบปีเว้นปีหรือเว้นสองปี จนเมื่อปี 2541 มีการค้นพบว่าสารโพแทสเซียมคลอเรตสามารถกระตุ้นการออกดอกของลำไยได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความหนาวเย็น ทำให้ลำไยออกดอกได้ทุกช่วงเวลาของปี ทำให้เกษตรกรจำนวนมากหันมาให้ความสนใจใช้โพแทสเซียมคลอเรตในสวนลำไย
โพแทสเซียมคลอเรตจัดว่าเป็นสารพิษในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ร้ายแรงมากนัก เคยถูกนำมาใช้เป็นสารกำจัดวัชพืชมาก่อน รวมทั้งยังเป็นสารที่ใช้ผลิตวัตถุระเบิดได้อีกด้วย เมื่อมีแนวโน้มว่าจะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในสวนลำไย ทำให้เกิดความกังวลทั้งในแง่ของผลผลิตลำไย ความปลอดภัยของผู้บริโภค ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอันตรายจากการระเบิด
รศ.ดร.จันทร์จรัส เรี่ยวเดชะ ผู้อำนวยการฝ่ายเกษตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) กล่าวว่า งานวิจัยด้านลำไยของ สกว. เกิดขึ้นประมาณช่วง พ.ศ.2539 เป็นต้นมา โดยเริ่มตั้งแต่มีการค้นพบสารโพแทสเซียมคลอเรตที่สามารถนำไปกระตุ้นการออกดอกของลำไยโดยไม่ต้องพึ่งพาอากาศหนาวเย็น ทำให้มีปริมาณการผลิตลำไยเพิ่มขึ้นและแพร่กระจายไปยังจังหวัดต่างๆของพื้นที่แถบจังหวัดภาคเหนือแทบทุกจังหวัด ซึ่งการผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นจำเป็นต้องได้รับการวิจัยและพัฒนาด้านคุณภาพตามมาด้วย มีการสนับสนุนโครงการเพื่อประเมินความปลอดภัยทางอาหารของลำไยที่ใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต และประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการใช้สารคลอเรตในสวนลำไย เพื่อไม่ให้เกิดการตกค้างของคลอเรตในดินสะสมข้ามปีจนส่งผลกระทบระยะยาว
รศ.สมชาย องค์ประเสริฐ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง "ผลกระทบของการใช้สารคลอเรตต่อสิ่งแวดล้อมในสวนลำไยและการแก้ปัญหาการเพิ่มขึ้นของอัตราการใช้สารคลอเรต" ภายใต้การสนับสนุนของ สกว. พบว่า การสลายตัวของคลอเรตในดินเกิดได้โดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินเท่านั้น ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าจึงทำให้คลอเรตสามารถสลายตัวได้เร็ว การใช้สารคลอเรตโดยการราดทางดินในอัตรา 4 เท่าของอัตราการใช้ที่แนะนำ ไม่มีผลกระทบใดๆต่อคุณสมบัติของดิน
ทั้งนี้คลอเรตที่ได้จากโซเดียมคลอเรตจะสลายตัวช้ากว่าที่ได้จากโพแทสเซียมคลอเรต แต่ทำให้ลำไยออกดอกได้เหมือนกัน เกษตรกรจึงควรเลือกใช้โพแทสเซียมคลอเรต จากการศึกษาวิจัยสามารถสรุปได้ว่า การใช้โพแทสเซียมคลอเรตของเกษตรกรมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะสั้นเฉพาะในแนวที่ราดสารลงไปเท่านั้น แต่ไม่มีผลกระทบในระยะยาว
อย่างไรก็ตามการใช้สารคลอเรตมากเกินไปจะส่งผลให้ลำไยออกดอกน้อยลง สวนลำไยบางแห่งที่ประสบปัญหาออกดอกน้อย ออกดอกหลายรุ่น และไม่ออกดอกเลยนั้น มีสาเหตุมาจากการใช้โพแทสเซียมคลอเรตมากเกินไปต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่มีต้นทุนต่ำที่สุดสำหรับดินทรายคือการใช้กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายราดบริเวณดังกล่าว และเกษตรกรที่มีสวนเป็นดินทรายต้องเร่งกำจัดสารโพแทสเซียมคลอเรตที่ตกค้างภายใน 1-2 เดือน เพื่อไม่ให้มีโอกาสซึมลงสู่ดินชั้นล่าง ซึ่งจะทำให้สลายตัวต่อไปได้ช้า
ด้าน ดร.สุกัญญา วงศ์พรชัย ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โพแทสเซียมคลอเรตมีคุณสมบัติทางเคมีเป็นสารอนินทรีย์ที่จัดอยู่ในประเภทมีความเป็นพิษในระดับปานกลาง เมื่อละลายน้ำจะแตกตัวให้โพแทสเซียมไอออนและคลอเรตไอออน คลอเรตไอออนหรือที่เรียกสั้นๆว่าคลอเรตมีสมบัติเป็นสารออกซิไดซ์ที่แรงมาก การสลายตัวที่อุณหภูมิสูงจะให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นออกซิเจน เป็นเหตุผลที่ทำให้สามารถติดไฟได้จนอาจเกิดการระเบิด
ดร.สุกัญญา ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบทางเคมีในลำไยหลังการให้สารโพแทสเซียมคลอเรต" ซึ่งได้คัดเลือกลำไยพันธุ์ดอจากต้นที่ใส่สารโพแทสเซียมคลอเรตและต้นที่ไม่ใส่ มา สกัดและวิเคราะห์สารสกัดเพื่อดูองค์ประกอบสารอินทรีย์แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน พบว่าในจำนวนสารอินทรีย์กว่า 200 สารโดยเฉลี่ยที่พบในสารสกัดจากผลลำไยที่ใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต ไม่มีองค์ประกอบที่เป็นสารประกอบคลอไรด์ รวมทั้งสารที่เกิดจากการกระตุ้นของโพแทสเซียมคลอเรต จึงสามารถยืนยันได้ว่าไม่มีการตกค้างของโพแทสเซียมคลอเรตในผลลำไย และผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าลำไยที่ใช้สารโพแทสเซียมคลอเรตกระตุ้นการออกดอกมีความปลอดภัยเพียงพอสำหรับการบริโภค
ในส่วนของความเสี่ยงต่ออันตรายจากการระเบิดของโพแทสเซียมคลอเรต ซึ่งเคยเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นที่โรงงานอบแห้งลำไยที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ดร.สมคิด พรหมมา ศูนย์วิจัยบำรุงพันธุ์สัตว์เชียงใหม่ ได้วิจัยเรื่อง "การพัฒนาการเร่งดอกลำไยที่มีโพแทสเซียมคลอเรตเป็นองค์ประกอบหลักในรูปแบบที่ปลอดภัยและสะดวกในการใช้ของชาวสวนลำไย" โดยพัฒนาสูตรผสมสารโพแทสเซียมคลอเรตที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นวัตถุระเบิดหรือติดไฟ ซึ่งทำได้โดยการผสมสารถ่วงชนิดต่างๆให้โพแทสเซียมคลอเรตหมดสภาพความเป็นวัตถุระเบิด สารผสมดังกล่าวสามารถทำได้ใน 4 ลักษณะ คือ ชนิดผง ชนิดเม็ด ชนิดละลายน้ำ และชนิดละลายน้ำผสมแร่ธาตุ และทดสอบการระเบิดเพื่อยืนยันความปลอดภัยไปพร้อมกัน ซึ่งได้ผลออกมาเป็นที่พอใจทั้งด้านความปลอดภัยและความสามารถกระตุ้นการออกดอก
ลำไยสามารถทำรายได้เข้าประเทศปีละหลายล้านบาท ตลาดใหญ่อยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน แม้ว่าระยะหลังจีนจะสามารถผลิตลำไยได้เองแต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และยังต้องนำเข้าจากไทย ทำให้ลำไยยังคงเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ การสร้างองค์ความรู้จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยเหลือเกษตรกรหรือภาคการผลิตของประเทศให้เข้มแข็ง.