"เราไม่ได้มีเจตนาโจมตีหรือตีแผ่ประเทศไทยในแง่ลบ เราสำนึกเสมอว่าเราคือชนเผ่าและชาติพันธุ์ดั้งเดิมติดแผ่นดินไทยถิ่นนี้ เป็นมนุษย์ที่เกิดมามีสิทธิและความเท่าเทียมเช่นคนไทยทุกคน จึงมีสิทธิที่จะอธิบายข้อเท็จจริงในปัญหาที่ชนเผ่าและชาติพันธุ์ถูกละเมิดสิทธิ์ ที่ถูกกระทำและถูกเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติจากรัฐบาลไทย โดยหวังว่าเราจะได้กลับคืนมาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สูญเสียไป" เป็นสรุปรายงานปัญหาและข้อเท็จจริง ของกลุ่มตัวแทน 10 ชนเผ่า ที่เสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 ที่เจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาประชาชนบนพื้นที่สูง(ศปส.) พร้อมด้วยผู้แทนเครือข่ายชนเผ่าและชาติพันธุ์ 10 ชนเผ่าในประเทศไทย ได้จัดทำรายงานเรื่อง รัฐบาลไทยกับการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2501 เสนอต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ในการที่จะเสนอให้มีการปรับปรุง หรือยกระดับการคุ้มครองและการให้ความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนของชุมชนบนพื้นที่สูงในประเทศไทย ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้
โดยในรายงานดังกล่าว ได้กล่าวถึงในประเด็นเกี่ยวกับรัฐบาลไทย กับการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2501 โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชนชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง คือ บทบัญญัติข้อที่ 1,2,6,24,26, และข้อ 27 ซึ่งรัฐบางไทยได้เข้าเป็นภาคีกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2501 และประเทศไทยมีผลในการปฏิบัติตามกฎหมายเมื่อวันที่ 28 ม.ค.2540 แล้วนั้น
ซึ่งก่อนหน้านั้น รัฐบาลไทยในฐานะประเทศภาคีสมาชิก ได้จัดทำร่างรายงานขึ้นเสนอให้กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนตามกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ตามข้อบัญญัติที่ 40 เมื่อเดือน ม.ค.2543 ที่ผ่านมา แต่เป็นการจัดทำรายงานขึ้น โดยที่ชนเผ่าและชาติพันธุ์ไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำหรือให้ความคิดเห็นแต่ประการใด โดยเฉพาะเนื้อหารายงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าและชาติพันธุ์นั้นแตกต่างไปจากข้อเท็จจริงที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในปัจจุบัน ทั้งปัญหาการถูกละเมิดสิทธิและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อวิถีชีวิตในด้านสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมประเพณี
ดังนั้น รายงานฉบับนี้จึงเป็นรายงานที่ได้ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยน ปรึกษาหารือและผ่านการรับรองจากผู้แทนเครือข่ายและชาติพันธุ์ 10 ชนเผ่า ในเวทีแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ว่าด้วย "สิทธิ และสถานะบุคคลของชนเผ่าชาติพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งจัดขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22-23 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ในรายงานระบุว่า การดำเนินงานตามกติการะหว่างประเทศของรัฐบาลไทยที่ผ่านมานั้น ได้เกิดปัญหาที่เกิดขึ้นกับชนเผ่า ในหลายๆ ด้านด้วยกัน เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ในมาตรา 46,56 ได้บัญญัติรับรองเรื่องชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน
แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ชุมชนบนพื้นที่สูงไม่ได้รับสิทธิและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและการใช้ประโยชน์จากป่าตามรัฐธรรมนูญ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุกและอยู่ในป่าแบบผิดกฎหมาย เนื่องจากรัฐบาลไทย ได้ประกาศใช้กฎหมายป่าไม้ 4 ฉบับ (ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้ก่อนมีกฎหมายรัฐธรรมนูญปัจจุบันและมีเนื้อหาขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ) ซ้อนทับลงบนที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยและป่าชุมชน ส่งผลให้ชนเผ่าที่เคยอาศัยอยู่มาก่อนกลายเป็นผู้บุกรุกและผิดกฎหมาย
โดยรัฐบาลใช้มติคณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย.2541 เป็นเครื่องมือรองรับการบังคับใช้กฎหมายทั้ง 4 ฉบับ มีการประกาศแผนแม่บทเพื่อการพัฒนาชุมชน สิ่งแวดล้อมและพืชเสพติด 3 ฉบับ โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงของชาติ ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่าและการแก้ไขปัญหายาเสพติด และล่าสุด คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 27 ก.ค. และวันที่ 10 ส.ค.2547 เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการหมู่บ้านป่าไม้แผนใหม่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีพื้นที่เป้าหมายจำนวน 10,886 หมู่บ้าน ใน 70 จังหวัด ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านของชนเผ่าเกือบ 100%
การประกาศใช้กฎหมายป่าอนุรักษ์ทับซ้อนที่ดินทำกินดังกล่าว ทำให้ชนเผ่าและชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่มาก่อนต้องกลายเป็นผู้บุกรุก ผู้กระทำผิดกฎหมาย ถูกจับกุม ถูกข่มขู่คุกคามเป็นประจำ ยิ่งพื้นที่ใดถูกระบุว่าเป็นพื้นที่ล่อแหลม ก็จะถูกอพยพ ถูกขับไล่ออกจากป่าทันที เช่นกรณีตัวอย่างชาวบ้านชนเผ่าปะหล่อง ลาหู่และลีซู หมู่บ้านปางแดง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ถูกจับกุมทั้งหมู่บ้าน 3 ครั้ง ในขณะนอนหลับ ข้อหาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นศาล โดยข้อเท็จคือว่า หมู่บ้านปางแดงมีที่อยู่อาศัยเพียง 200 กว่าตารางวา และส่วนใหญ่ไร้ที่ดินทำกิน ขณะที่บริเวณรอบๆ หมู่บ้านและตลอดทั้งอำเภอเป็นพื้นที่ของนายทุน ของข้าราชการและนักการเมือง อีกทั้งเป็นพื้นที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเป็นผู้บุกรุกทำผิดกฎหมายต้องถูกจับกุมเหมือนกันหมด แต่เจ้าหน้าที่รัฐก็เลือกจับกุมเฉพาะชาวบ้านปางแดงที่ไร้ทางต่อสู้เท่านั้น
นอกจากนั้น การอพยพหมู่บ้านชนเผ่าออกจากป่า ภายใต้แผนแม่บทฯ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าหมู่บ้านตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1A หรืออยู่ในพื้นที่ล่อแหลมลาดชันเกิน 35% เช่น กรณีการอพยพชนเผ่าออกจากป่าอุทยานแห่งชาติในพื้นที่เขตติดต่อจังหวัดลำปาง พะเยา และเชียงราย เมื่อวันที่ 14 ก.พ. พ.ศ.2537 และอพยพชาวบ้านในเขตอุทยานแห่งชาติทุ่งใหญ่นเรศวร จ.ตากและกำแพงเพชร กว่า 1,000 คน ในปี พ.ศ.2533 ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ชนเผ่าและชาติพันธุ์จำนวนมาก ต้องไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ไม่มีงานทำ วิถีชีวิตล่มสลาย เด็กเยาวชนต้องออกไปรับจ้างในเมือง และผู้หญิงชนเผ่าถูกหลอกลวงไปขายบริการทางเพศ
นอกจากนั้น ในรายงาน ยังระบุรัฐบาลไทย ไม่ได้มีการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พ.ศ.2501 ข้อ 2 ซึ่งระบุชัดว่า รัฐภาคีแต่ละรัฐแห่งกติกานี้ รับที่จะเคารพและประกันแก่ปัจเจกบุคคลทั้งปวงในดินแดนของตน และภายใต้เขตอำนาจของตนในสิทธิทั้งหลายที่รับรองไว้ในกติกานี้โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ อาทิ เชื้อชาติ ผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นอื่นใด เผ่าพันธุ์แห่งชาติหรือสังคม ทรัพย์สิน กำเนิด หรือสถานะอื่นๆ
ซึ่งข้อเท็จจริง คือ ในชนชั้นปกครองแห่งรัฐไทยยังมีอคติทางชาติพันธุ์ มักเลือกปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อย และกลุ่มชาติพันธุ์ ดังจะเห็นได้กรณีล่าสุด ครม.ยังมีมติ เมื่อ 29 ส.ค.2543 จำแนกชนเผ่าออกเป็น 3 กลุ่ม ด้วยเหตุผลเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุม ส่งผลทำให้ชนเผ่าไร้สัญชาติจำนวนมาก ไร้สถานะบุคคล ไร้สิทธิและไร้รัฐ หรือกลายเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 360,000 คน
และทุกปี บุคคลไร้สัญชาติเหล่านี้ จะต้องขอมติครม. เพื่อขอผ่อนผันการอยู่อาศัยชั่วคราวปีต่อปี ไม่สามารถขอรับบริการสิทธิขั้นพื้นฐานจากรัฐได้ เช่น สาธารณสุข การศึกษา ถูกควบคุมเรื่องการเดินทางไม่สามารถออกนอกเขตพื้นที่ เด็กที่เกิดในแผ่นดินประเทศไทย มีบิดามารดาถูกระบุว่าเป็นคนต่างด้าว ก็ไม่สามารถขอจดทะเบียนการเกิดและไม่ได้รับสิทธิความเป็นพลเมืองไทย ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1996 ข้อ 24(2),(3)