ประชาไท19 ก.ค. 2548 "ถ้าถามผม ผมโทษนักกฎหมาย ระหว่างเผด็จการกับนักกฎหมายที่รับใช้เผด็จการ คนที่เลวกกว่าคือ นักกฎหมาย" นายปริญญา เทวานฤมิตกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวในเวทีรับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กมธ.) ที่รัฐสภาวันนี้
ทั้งนี้ กมธ. ฯ จัดการรับฟังความคิดเห็นเรื่อง พระราชกำหนดว่าด้วยการบริหารราชการใสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีนักกฎหมาย นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นประมาณ 50 คน
นายปริญญา เทวานฤมิตกุล กล่าวในที่ประชุมว่า ไม่มีเหตุผลใดรองรับการอกพระราชกำหนดฉบับดังกล่าว นายโดยปริญญาอธิบายว่า พระราชกำหนดคือกฎหมายของฝ่ายบริหารที่มีค่าเทียบเท่ากับประราชบัญญัติ แต่เนื่องจากพระราชกำหนด ถือเป็นกฎหมายที่ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยหลักการแล้วไม่ควรเปิดโอกาสให้ใช้ และไม่ควรเปิดโอกาสให้มีการออกพระราชกำหนด แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกลับยังเปิดโอกาสไว้ในมาตรา 218
"ซึ่งนี่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของสสร. (สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ) ด้วย"
นอกจากนี้ นายปริญญาตั้งข้อสังเกตว่า เนื้อหาของพระราชกำหนดฉบับนี้ลักษณะเป็นกฎหมายเผด็จการมากกว่าทีรัฐบาลเผด็จการใด ๆ ของไทยเคยบัญญัติกฎหมายออกมา
ภายหลังจากที่นายปริญญากล่าวอธิบายจบ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ว.กรุงเทพมหานครตั้งคำถามว่า ถ้าเปรียบกับภาษิตพายเรือให้โจรนั่ง ในทัศนะของนายปริญญาเห็นว่ากรณีการออกพระราชกำหนดฉบับนี้ ใครเป็นโจร ใครเป็นคนพายเรือ หรือเป็นการนั่งในเรือที่โจรพาย
นายปริญญาได้กล่าวตอบว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นนักกฎหมาย ตนเห็นว่านักระหว่างนักกฎหมายซึ่งร่างกฎหมายฉบับเผด็จการออกมา กับนายกรัฐมนตรีซึ่งจะเป็นผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายเผด็จการนั้น นักกฎหมายเลวกว่า และที่ผ่านมาจะพบได้ว่าในรัฐบาลเผด็จการทุกรัฐบาลต้องมีนักกฎหมายทำหน้าที่สร้างความชอบธรรมโดยการตรากฎหมายให้กับรัฐบาลทั้งสิ้น