รัฐบาลประกาศออกมาว่าภายในปี 2549 ประเทศไทยต้องมีแก๊สโซฮอล์ใช้กันอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ ซึ่งหมายความว่าจะมีแหล่งจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ที่คนทั่วประเทศสามารถเข้าถึง โดยเวลานี้มีเพียงสถานบริการน้ำมันไม่กี่แห่งที่จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ และผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ก็ยังมีอยู่เพียงน้อยนิด
ในฉบับที่ผ่านมา "พลเมืองเหนือ" ได้กล่าวถึงงานวิจัยของนักวิจัยชาวสหรัฐฯ ซึ่งตรวจสอบพลังงานทั้งหมดซึ่งใช้ในกระบวนการผลิตเอทานอลภายในประเทศสหรัฐฯ ตั้งแต่ขั้นตอนของการเพาะปลูกพืชที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ การขนส่ง ไปจนถึงกระบวนการสกัดวัตถุดิบเหล่านั้นให้ได้เป็นเอทานอลออกมา แล้วนำมาเปรียบเทียบกับพลังงานที่จะได้รับจากเอทานอล ผลวิจัยดังกล่าวสรุปชี้ชัดออกมาว่า การใช้เอทานอลในฐานะพลังงานทดแทนนั้น ท้ายที่สุดแล้วอาจกลายเป็น "การขาดทุนทางพลังงาน"
รองศาสตราจารย์ศิรินทร์ญา ภักดี ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เจ้าของงานวิจัย "เอทานอลข้าวเหนียว" (พลเมืองเหนือ ฉบับที่ 179 หน้า 19) กล่าวว่า สถานการณ์โดยทั่วไปของประเทศไทยคือเราไม่มีน้ำมันเพียงพอต่อการใช้ภายในประเทศ แม้จะสามารถขุดเจาะได้เองในบางส่วนก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี เหตุนี้รัฐบาลไทยจึงต้องเร่งหามาตรการด้านพลังงานทดแทนอย่างเร่งด่วน โดยประกาศใช้แก๊สโซฮอล์ทั้งประเทศภายในปี 2549 เป็นต้นไป มาตรการดังกล่าวเรามีข้อได้เปรียบอยู่คือ เรามีผลผลิตทางการเกษตรปริมาณมหาศาลในแต่ละปี ซึ่งบางครั้งมากจนเกินความต้องการของตลาด ส่งผลให้ราคาผลผลิตตกต่ำหรือขายไม่ออก จนเหลือทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ในปริมาณไม่น้อย ซึ่งหากเราสามารถดึงผลผลิตตรงนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติในหลายด้าน เช่น ลดการน้ำเข้าน้ำมัน และ ส่งเสริมการเกษตร เป็นต้น
ในการวิจัยเพื่อให้ได้มาซึ่งแหล่งพลังงานทดแทนอย่างแก๊สโซฮอล์นั้น ความคุ้มค่าต้องพิจารณาจากปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ในวัตถุดิบตั้งต้นเป็นหลัก หากวัตถุดิบตั้งต้นมีปริมาณมากเท่าไรก็ยิ่งผลิตเอทานอลได้มากเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากงานวิจัยของนักวิจัยชาวสหรัฐฯจะเห็นได้ว่าพืชที่นำมาเป็นตัวอย่าง เป็นพืชที่มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างน้อย อย่างเช่น ข้าวโพด ซึ่งเป็นพืชที่สหรัฐฯสามารถผลิตได้ในปริมาณมาก อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าสหรัฐฯมีการวิจัยที่กว้างขวางกว่าเรามาก แง่มุมดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์สำหรับงานวิจัยอื่นๆที่จะสามารถนำองค์ความรู้ดังกล่าวไปใช้ในการต่อยอดได้ แต่เราต้องไม่ลืมว่าสหรัฐฯสามารถผลิตใช้ได้เองภายในประเทศ ต่างจากประเทศไทยเราที่ไม่สามารถผลิตใช้ได้เอง ขณะที่เราสามารถผลิตพืชผลทางการเกษตรได้มาก ดังนั้นเมื่อมีหนทางที่จะช่วยให้ประเทศชาติอยู่รอดได้เช่นนี้ เราจึงควรต้องมุ่งเน้นเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยเพื่อให้สามารถลดการนำเข้าน้ำมันลงได้บ้าง และแม้ว่าเราจะใช้แก๊สโซฮอล์ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มของปริมาณน้ำมันเบนซินที่เคยใช้ เราก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันเบนซินอีก 90 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี ซึ่งในอนาคตควรต้องมีการต่อยอดงานวิจัยเพื่อให้สามารถพัฒนาการใช้เอทานอลเป็นแหล่งพลังงานได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจะทำให้เราสามารถพึ่งพาตนเองได้และไม่ต้องนำเข้าน้ำมันอีกต่อไป
แหล่งวัตถุดิบสำหรับการผลิตเอทานอลในประเทศไทย ที่โดดเด่นและน่าสนใจในเวลานี้ได้แก่มันสำปะหลังและกากน้ำตาล โดยมันสำปะหลังมีปลูกกันมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งที่ผ่านมามีอยู่บ่อยครั้งที่เกิดปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดจนเกษตรกรเกิดความเดือดร้อน และออกมาเรียกร้องภาครัฐให้ดำเนินการช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว หลายครั้งบานปลายถึงขั้นนำผลผลิตไปเททิ้งบริเวณหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นการประท้วงที่ภาครัฐไม่ได้ให้การเอาใจใส่เท่าที่ควร หากสามารถนำผลผลิตเหล่านี้มาเป็นแหล่งพลังงานทดแทนได้ ก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
อย่างในภาคเหนือเองก็มีผลผลิตลำไยปริมาณมากซึ่งควรได้รับการส่งเสริมให้เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญของการผลิตเอทานอล เนื่องจากลำไยเป็นผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลิตเอทานอลได้ในปริมาณมาก อีกทั้งสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันที่ผลผลิตลำไยตกค้างปีละหลายแสนตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตกค้างจากปี 2545 การนำมาใช้ประโยชน์ด้านพลังงานทดแทนจึงดีกว่าการเผาทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งกรณีนี้ "พลเมืองเหนือ" เคยนำเสนองานวิจัยเรื่อง "เอทานอลจากลำไย" ของ ดร.พรชัย เหลืองอาภาพงษ์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้ (พลเมืองเหนือ ฉบับที่ 184 หน้า 21)
ประเทศบราซิลเป็นตัวอย่างที่ดีของความสำเร็จในการใช้เอทานอลในฐานะพลังงานทดแทน บราซิลเคยนำเข้าน้ำมันปริมาณมหาศาลต่อปี แต่มีพืชผลทางการเกษตรอย่างหนึ่งที่สามารถผลิตได้ในปริมาณมหาศาลคืออ้อย ซึ่งเป็นพืชที่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบอยู่ในปริมาณมาก เมื่อนำความได้เปรียบดังกล่าวมาปรับใช้ โดยนำอ้อยมาเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตเอทานอล และส่งเสริมการพลังงานจากแหล่งดังกล่าวจนแพร่หลายทั้งประเทศ ทำให้ปัจจุบันบราซิลแทบไม่ต้องนำเข้าน้ำมันเลย
จุดอ่อนที่สำคัญประการหนึ่งของการกระตุ้นการเปลี่ยนมาใช้แก๊สโซฮอล์ คือการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้ ให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าประสิทธิภาพของแก๊สโซฮอล์ที่มีต่อเครื่องยนต์ไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้น้ำมันเบนซิน 95 รวมทั้งการลดความกังวลในเรื่องเกี่ยวกับการสึกหรอของเครื่องยนต์ด้วย ซึ่งกรณีนี้ควรต้องมีการสนับสนุนงานวิจัยทดสอบเชิงวิศวกรรมให้มากขึ้น เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้มากกว่าที่เป็นอยู่
ข้อได้เปรียบที่ชัดเจนของแก๊สโซฮอล์คือความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ควรมุ่งเน้นให้เกิดความตระหนักในวงกว้าง ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งในการจูงใจผู้คนให้หันมาใช้แก๊สโซฮอล์คือการสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนด้านราคา ซึ่งในปัจจุบันแก๊สโซฮอล์ก็มีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 95 อยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่มาก แต่หากสามารถผลิตเอทานอลได้ในปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยลดลง ความแตกต่างด้านราคาก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเป็นปัจจัยที่สามารถจูงใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพื่อให้มองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอนาคตด้านพลังงานของประเทศ.
รายงานพิเศษ
ฉัตรชัย ชัยนนถี