Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ดูท่าจะหมดยาหอมไปหลายขวดนับตั้งแต่ "หญิงหน่อย" คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บุกขึ้นเชียงใหม่ถี่ยิบเมื่อช่วงต้นก่อนฤดูลำไยจะออกผล


พร้อมกับหอบคำหวานมาเป็นกระบุงโกยให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือกว่า 1,000 คนได้อิ่มเอมใจถึงมาตรการแก้ปัญหา "ลำไย" ปี 2548 ประกาศย้ำชัดว่า


1.จะเน้นกลไกตลาดเป็นสำคัญ 2.รัฐจะไม่เข้ามาแทรกแซงอย่างเด็ดขาด 3.จะเปิดทางให้ผู้ซื้อพบผู้ขาย 4.มุ่งเข็นลำไยสดขายทั้งในและต่างประเทศให้มากที่สุด


ทั้งยังย้ำชัดลงไปอีกว่าได้ออเดอร์ลำไยสดส่งไปขายให้จีนแล้ว 230,000 ตันและลำไยแห้งอีก 70,000 ตัน…เป็นคำยืนยันที่หนักแน่นว่าตลาดส่งออกปีนี้สดใสแน่ ๆ แต่แล้วสถานการณ์ก็กลับพลิกผันเมื่อเจ้ากระทรวงฯคนเดิมออกมายอมรับว่า


"สถานการณ์แก้ปัญหาลำไยในตอนนี้ประสบปัญหาหลายประการ ทำให้แผนที่กำหนดไว้ไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยข้อตกลงที่บริษัทจีนที่เคยตกลงว่าจะรับซื้อลำไยจากไทย แต่ไม่เข้ามารับซื้อตามราคาที่เคยตกลงกัน โดยอ้างว่าราคาในประเทศจีนต่ำมาก หากรับซื้อตามที่ตกลงก็จะขาดทุน ซึ่งคาดว่ามีพ่อค้าไทยกว้านซื้อลำไย เพื่อส่งไปขายในราคาที่ต่ำแค่ กก.ละ 42-45 บาท แม้จะส่งไปเพียง 500 ตัน แต่ก็ทำให้ราคาในตลาดจีนร่วงลงมาทันที"


คุณหญิงสุดารัตน์ บอกว่า แม้ว่าแผนแรกที่วางไว้จะเสียไปหมดแล้ว แต่ก็ต้องพยายามปรับตัวให้เร็วที่สุด ขณะนี้ได้ส่งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบไปอินโดนีเซียเพื่อเจรจาขายลำไย ขณะที่อีกทางหนึ่งได้ขอให้สมาคมผู้ส่งออกผลไม้สดมาตั้งจุดรับซื้ออย่างน้อย 39 จุด และขอให้บริษัทบริษัท ปักกิ่งหัวเหมาสุรพันธ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนของรัฐบาลจีน ตามโครงการลำไยแลกหัวรถจักร มาเปิดจุดรับซื้อโดยตรงด้วย โดยจะมีจุดรับซื้อในราคานำตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยจะซื้อลำไยสดช่อ ที่ เกรดเอเอ/เอ/บี 18-15-11 บาทตามลำดับ ส่วนลำไยสดร่วงเพื่อนำไปอบแห้งอยู่ที่ 12-7-3 บาท"


ทว่า ในข้อเท็จจริงตามที่รัฐบาลอ้างว่ามีจุดรับซื้อที่ให้ราคาดีและให้เป็นไปตามกลไกตลาด ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะสถานการณ์ทุกวันนี้ผู้ประกอบการยังคงกำหนดราคาเป็นสูตรสำเร็จคือ เกรดเอเอ กิโลกรัมละ 8 บาท เกรดเอ 5 บาท และเกรดบี 3 - 4 บาท ไม่ใช่ 18 - 15 - 11 ดังว่า


ทั้งนี้ เมื่อแผนเดิมไม่เป็นไปตามเป้า การแก้ปัญหาด้วยแผนฉุกเฉินจึงถูกงัดออกมาใช้  หรืออาจกล่าวได้ว่านี่คือแผนสองของกระทรวงเกษตรฯ วิธีการไม่ได้แยบยลอะไร ประกอบด้วย


1.การระบายลำไยสด แบ่งเป็น 2 ช่องทางคือ ระบายลำไยสดในประเทศ ประมาณ 1 แสนตัน และลำไยสดโดยสมาคมผู้ส่งออกผลไม้ ที่เดิมมียอดประมาณ 8 หมื่นตัน


2.เข้าสู่ขบวนการลำไยอบแห้ง โดยเน้นไปที่การเข้ามารับซื้อลำไยอบแห้งของบริษัท บริษัทปักกิ่งหัวเหมาสุรพันธ์ จำกัด คู่สัญญาแลกลำไยอบแห้งกับหัวรถจักร ที่มียอดประมาณ 1 แสนตัน ตีเป็นลำไยสด ประมาณ 3 แสนตัน และ สัญญาขายลำไยอบแห้งปี 48 ระหว่างสหกรณ์ชาวสวนลำไยภาคเหนือและเครือข่ายสหกรณ์ 8 จังหวัดภาคเหนือ กับบริษัท บีเควาย 2005 จำกัด จากประเทศจีน โดยมีการลงนามสัญญาซื้อขายลำไยอบแห้งทั้งหมด 70,000 ตัน โดยวางเงินมัดจำล่วงหน้า จำนวน 50 ล้านบาท โดยลำไยอบแห้งเกรด AA ขายกิโลกรัมละ 65 บาท เกรด A กิโลกรัม 48 บาทและเกรด B กิโลกรัมละ 28 บาท


หากว่ากันตามเนื้อผ้าเส้นทางการแก้ปัญหาลำไยปีนี้ ไม่ได้เป็นแผนที่สวยหรูอะไร แต่เป็นเส้นทางที่ย้อนกลับไปสู่การทำ "ลำไยอบแห้ง" ที่รัฐบาลเคยปฏิเสธมาโดยตลอด


ยาหอมที่ถูกโปรยไว้เมื่อต้นฤดูกับมาตรการผลักดันลำไยสดออกสู่ประเทศจีนเป็นด้านหลัก และหวังว่าจะเป็นกลไกหลักนั้นกลับกลายเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ


ขณะที่ช่องทางการระบายลำไยสดสู่ตลาดในประเทศ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยช่วยกันบริโภคลำไยสดที่คาดว่าจะมีประมาณ 100,000 ตัน นั้น ก็ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายเช่นกัน เพราะข้อจำกัดของลำไยในเรื่องความหวาน เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถกินลำไยได้ในปริมาณมาก ๆ


กระแสข่าวในหลายพื้นที่เริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายการบริหารจัดการลำไย เช่น นโยบายของกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซื้อลำไยจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรฯ เพื่อกระจายลำไยลงในพื้นที่ทั่วประเทศ วิธีการนั้นเหมือนเป็นการบังคับให้ อบต.และเทศบาลรับซื้อ ซ้ำราคาขายยังแพงกว่าท้องตลาดทั่วไป มีส่วนต่างเกือบ 10 บาท ขณะที่คุณภาพลำไยไม่ดีเท่าที่ควร


ลำไยจำนวนมากจากจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ ถูกลำเลียงขนส่งไปทั่วทุกภาคของประเทศ ทุกหน่วยงานราชการทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอและระดับท้องถิ่นได้กินลำไยกันถ้วนหน้า จนมีเสียงเล็ดลอดจากข้าราชการหลายจังหวัดว่า ส่วนใหญ่ซื้อคนละ 1 - 2 กิโลกรัม  แต่ระยะปลายเดือนกรกฎาคมเริ่มนำมาขายให้ถี่ขึ้น และเหมือนถูกบังคับให้ซื้อ เช่น หน่วยงานไหนมีเจ้าหน้าที่ 6 - 7 คน จะได้โควตาลำไย 1 กล่อง (10 กก. ราคา 210 บาท) บางหน่วยต้องซื้อถึง 6 กล่องก็มี


ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแก้ปัญหาลำไยปี 2548 ก็เข้าอีหรอบเดิม ไม่มีอะไรแปลกใหม่ นั่นก็คือ การต้องเข้าสู่กระบวนการแปรรูปเป็นลำไยอบแห้ง ซึ่งคงไม่มีใครกล้ารับประกันว่าจะมีมาเฟียออกมาคอยงาบอีกหรือไม่ และคงไม่ผิดหากจะบอกว่าการแก้ปัญหาลำไยของกระทรวงเกษตรฯ ปีนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง


 


***************

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net