ชุมชนเมืองมีการขยายตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนั้นได้นำมาซึ่งปัญหาหลายด้าน ยิ่งมีความเป็นชุมชนเมืองมากเท่าไร ความซับซ้อนของปัญหายิ่งทบทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เมืองเชียงใหม่นั้นเคยเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่ง ไม่เพียงในระดับประเทศหรือภูมิภาค แต่เป็นในระดับโลก ทว่าในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา เชียงใหม่มีการขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต ไร้ทิศทางที่แน่นอน และขาดการวางแผนที่ชัดเจน ปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมาเป็นเวลานาน จึงค่อยๆเปิดเผยตัวออกมาทีละเล็กทีละน้อย ปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าเชียงใหม่กำลังเจ็บป่วย แม้ว่าล่าสุดจากการจัดอันดับนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังของสหรัฐฯ "Travel and Leisure" เชียงใหม่ยังคงติดอันดับ 5 ของเมืองที่ดีที่สุดในโลกจากการลงความเห็นโดยผู้อ่านนิตยสารดังกล่าว ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่อาจปิดบังสภาพความเป็นจริงที่ต้องได้รับการเยียวยาของเชียงใหม่ได้ เชียงใหม่เวลานี้เป็นอย่างไร ชาวเชียงใหม่เองน่าจะเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด
แนวความคิดเรื่องเมืองน่าอยู่ ชุมชนน่าอยู่ ตามการจัดแบ่งมุมมองของมูลนิธิพัฒนาไท แบ่งชุมชนน่าอยู่ออกเป็น 5 มิติ ได้แก่ เมืองปลอดภัย เมืองสะอาด เมืองคุณภาพชีวิต เมืองธรรมาภิบาล และเมืองวัฒนธรรม
เมืองปลอดภัย คือเมืองที่มีสถิติของอาชญากรรมและภัยพิบัติต่ำ
เมืองสะอาด คือเมืองที่มีการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย โดยมีดัชนีชี้วัดได้แก่ การผลิตขยะของเมือง การมีน้ำประปาใช้ในระดับคุณภาพที่สามารถดื่มได้ และชุมชนแออัดที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา
เมืองคุณภาพชีวิต คือเมืองที่เอื้อให้ประชากรมีความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา นั่นคือมีปัจจัยที่พอเพียงทางด้านสุขภาพ การศึกษา และเศรษฐกิจ
เมืองธรรมาภิบาล คือเมืองที่มีการจัดการบริหารโดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อการพัฒนาและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข โดยยึดหลัก "ธรรมาภิบาล"
เมืองวัฒนธรรม คือเมืองที่มีขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิต ศิลปกรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์
ศาตราจารย์ ดร.มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า เมื่อจัดอันอับเมืองน่าอยู่ตามมุมมอง 5 มิติดังกล่าว พบว่าเชียงใหม่ติดอันดับต่ำสุดของตัวชี้วัด 2 ด้าน คือ มีอัตราการผลิตขยะสูงสุด และอัตราการให้บริการน้ำประปาแก่ครัวเรือนต่ำสุด แต่ในภาพรวมทั้ง 5 มิติ เทศบาลนครเชียงใหม่มีคะแนนจากการประเมินสูงที่สุดจากทั้งประเทศ แสดงให้เห็นว่าแม้จะได้คะแนนการประเมินสูงสุด ก็ไม่ได้หมายความว่าในความเป็นจริงจะเป็นเมืองที่เพียบพร้อมไปเสียทุกด้าน ยังมีบางด้านที่ยังเป็นปัญหาที่รอการแก้ไขอยู่
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
ย่านวัดเกตอาจเป็นเพียงชุมชนเล็กๆชุมชนหนึ่งซึ่งไม่อาจบรรยายภาพรวมทั้งหมดของเมืองเชียงใหม่ได้ อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นชุมชนเก่าแก่และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประชากรอย่างสูง จึงอาจเป็นตัวอย่างหนึ่งของเสียงสะท้อนจากผู้คนในเชียงใหม่ได้ วรวิมล ชัยรัต หนึ่งในผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและความต้องการของชาวบ้านในย่านวัดเกต กล่าวว่า เมืองที่น่าอยู่ต้องมีความสงบ สวยงาม สะอาด มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่มีการจราจรที่คับคั่ง มีบรรยากาศของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ผู้คนมีมารยาท มีศีลธรรม ซึ่งนั่นคือภาพของเชียงใหม่ในอดีต การจัดตั้งชุมชนของทางการ นับเป็นการตั้งโครงสร้างทางการเมืองขึ้นมาทับซ้อนโครงสร้างทางวัฒนธรรม ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายและความแตกแยกภายในสังคมชาวบ้าน ส่งผลให้ชุมชนเกิดความอ่อนแอ ในขณะที่การพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองน่าอยู่นั้น มีใจความสำคัญอยู่ที่การตระหนักว่า "พัฒนาเพื่อใคร ให้ใครเป็นผู้พัฒนา และ น่าอยู่สำหรับใคร ใครเป็นคนอยู่" ร่วมกับสัจธรรมที่ว่า "ไม่มีใครรู้จักและรักบ้านเมืองของใครได้ดีกว่ากว่าผู้ที่เป็นเจ้าของ"
กลับสู่รากเหง้าที่แท้จริง
จากสายตาของคนภายนอกที่มองเข้ามา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยงธนิศร์ พิมลเสถียร ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กล่าวว่า เชียงใหม่อาจต้องหวนกลับมาพิจารณาถึงรากเหง้าที่แท้จริง เพื่อเป็นพื้นฐานในการกำหนดแนวทางการพัฒนาเมืองท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นที่ทราบกันดีว่าเชียงใหม่เป็นเมืองประวัติศาสตร์ มีมรดกทางวัฒนธรรมหลายแขนง ทั้งที่จับต้องได้ เช่น อาคาร สิ่งก่อสร้าง โบราณวัตถุ และที่จับจ้องไม่ได้ เช่น ประเพณี ความเชื่อ ที่แสดงออกในรูปของเทศกาล พิธีกรรม อาหาร การแต่งกาย ภาษา ฯลฯ ซึ่งทำให้เกิดเอกลักษณ์ของเมือง นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของผู้อยู่อาศัย และความสนใจของผู้ที่มาเยือน น่าสังเกตว่าผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัฒน์เป็นเงื่อนไขที่มีผลต่อทิศทางของการเปลี่ยนแปลงของเชียงใหม่ ในทางการผังเมืองสามารถพิจารณาผลกระทบได้ใน 4 มิติ ได้แก่ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง
การมีส่วนร่วม
ในด้านวัฒนธรรม จะเห็นได้ว่าเกิดกระแสการอนุรักษ์เมืองเก่ามากขึ้น และภาครัฐมักใช้เป็นกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดการย้ายถิ่นเข้ามาของคนกลุ่มใหม่ซึ่งมีวิถีชีวิตต่างจากคนกลุ่มดั้งเดิม ทำให้ความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกและสาธารณูปโภคของเมืองเปลี่ยนรูปแบบไป ในด้านเศรษฐกิจ มีการศึกษาแล้วว่าการเพิ่มขึ้นของตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการขยายขอบเขตพื้นที่เมือง หากภาครัฐยังมีนโยบายเพิ่มตัวเลขทางเศรษฐกิจให้กับเมืองเชียงใหม่ คนเชียงใหม่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาจากการขยายตัวของเมืองซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการลดลงของทรัพยากรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในด้านสังคม ปัญหาความยากจนไม่ได้มาจากการมีรายได้น้อยอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการขาดปัจจัยต่างๆในการดำรงชีพ อย่างความมั่นคงในที่อยู่อาศัย การเข้าถึงสาธารณูปโภคของรัฐ และการขาดองค์ความรู้ใหม่ในการประกอบอาชีพด้วย และในด้านการเมืองการปกครองซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจและการบริการประชาชน แต่กลับยังไม่มีความก้าวหน้าในการสร้างระบบหรือช่องทางที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณาหรือตัดสินใจในโครงการที่มีผลกระทบ ทั้งที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของหลักการบริหารจัดการที่ดี
แนวทางการพัฒนาเมืองเชียงใหม่จึงควรมีการถ่วงดุลระหว่างคุณค่าความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการรับกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยทำความเข้าใจกับประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองในทิศทางที่เชื่อมโยงกับสังคมร่วมสมัย มีการวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งถึงคุณค่ามรดกและวัฒนธรรมของเมือง และพยายามรักษาหรือส่งเสริมคุณค่าเหล่านั้น กำหนดทิศทางการพัฒนาเมืองโดยคำนึงถึงรูปแบบที่มีมาแต่ดั้งเดิม ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากประชาชนและชุมชน และการกำหนดวิสัยทัศน์การพัฒนาในอนาคตที่ยังคงมีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ของเมือง ซึ่งต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงเช่นกัน.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)