ประชาไท6 ส.ค. 48 ประธานกก.สิทธิฯ "เสน่ห์ จามริก" ใช้เวทีรัฐบาลเปิดตัวเค้าโครงแผ่นแม่บทสิทธิมนุษยชน ระบุ 5 ประเด็นสำคัญ เน้นการตระหนักรู้ของคนในสังคม โดยมุ่งพัฒนาไปสู่ วัฒนธรรมสิทธิฯ และนโยบายสาธารณะในทุกระดับ
"ผมขอเสนอเค้าโครงร่างแผนแม่บทสิทธิมนุษยชนที่สร้างสรรค์ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่เป็นหลักเป็นฐานและทั่วถึงรอบด้าน ทั้งนี้เคยมีแผนแม่บทปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนมาแล้วในปี 2542 แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติใช้ ร่างเค้าโครงนี้มี 5 ประเด็น ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคม จะนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของสังคม และนำไปสู่การคิดอ่านร่วมกัน เผยแพร่ให้เกิดการตื่นตัวและใช้ปฏิบัติจริงในชีวิต" ศ.เสน่ห์ จามริก ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าว
ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ใช้โอกาสการถ่ายทอดสดการประชุมเชิงปฏิบัติ การ "สิทธิมนุษยชนสังคมไทย...มาตรฐานสู่การปฏิบัติ" ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม นำเสนอเค้าโครงร่างแผนแม่บทดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีและสาธารณชน
ศ.เสน่ห์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่เป็นเพียงกฎหมายสูงสุดของประเทศ แต่ยังเป็นอัตชีวประวัติของสังคมด้วย โดยนำบทเรียนในอดีตมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันและยังต้องมีวิสัยทัศน์ไปสู่อนาคต
ทั้งนี้เค้าโครงร่างแผนแม่บทสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เพื่อการพัฒนาสิทธิฯที่ต่อเนื่องและฝังรากลึกในสังคมวัฒนธรรมไทยในอนาคตด้วย
ศ.เสน่ห์ ได้สรุปประเด็นสำคัญ 5 ประการในเค้าโครงแผนฯ โดยในประเด็นแรกเน้นถึงคุณค่าและความสำคัญของสิทธิมนุษยชน เนื่องจากที่ผ่านมาต่างคนต่างพูดไปเรื่อยโดยไม่ตระหนัก โดยจะ ต้องให้รับรู้ความสำคัญของสิทธิฯอย่างแท้จริงไม่เช่นนั้นก็จะเป็นอันตราย
กล่าวโดยสรุป สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ช่วยหนุนเสริมการพัฒนาประเทศ โดยเป็นต้นทุนทางสังคมทั้งในด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรม สิทธิฯจึงเท่ากับ 2 ด้านของเหรียญ ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถพัฒนาและแข่งขันให้หลากหลาย การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมต้องให้โปร่งใสและเปิดเผยทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติ ส่งเสริมเสรีภาพและความเป็นธรรมเพื่ออยู่กันกันอย่างสมานฉันท์และสันติสุข และต้องคำนึงถึงในฐานะประเทศไทยเป็นสมาชิกของสมาคมนานาชาติต่างๆ ด้วย |
ประการต่อมา สิทธิมนุษยชนต้องอ้างอิงฐานบังคับใช้ตามกติการัฐธรรมนูญในประเทศและกติการะหว่างประเทศ โดยมองที่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้แก่ ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ซึ่งกก.สิทธิฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่ทั้ง 2 ด้านตามเจตนารมณ์ดังกล่าว นั่นคือ แสวงหาความร่วมมือกับภาครัฐและพยายามสร้างเครือข่ายกับภาคประชาสังคม
"สำหรับปฏิญญาสากลและอนุสัญญาระหว่างประเทศ ผมดีใจที่พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพูดถึง ผมไม่อยากรอให้องค์การสหประชาชาติเรียกเราไปตอบคำถาม ถ้าเรามีการเตรียมพร้อมก็จะสามารถเสนอรายงานด้านความสำเร็จได้" ประธานคณะกรรมการสิทธิฯ กล่าว
ทั้งนี้ ประการที่ 3 เป็นแผนปฏิบัติการและการพัฒนาสิทธิมนุษยชน โดยเน้นให้ทุกคนมีสิทธิอยู่รวมกันแบบบูรณาการส่งเสริมทั้งบุคคลและชุมชน กำหนดแผนคุ้มครองกลุ่มเป้าหมาย ส่งเสริมการเรียนรู้การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งปกป้องบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากร โดยให้มีลักษณะเครือข่ายระดับชุมชนเกิดขึ้น
ประการที่ 4 ข้อเสนอแผนพัฒนาวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชน โดยใช้หลักนิติธรรม คณะกรรมการสิทธิฯ เห็นว่าการปฏิรูปการเมืองต้องใช้สิทธิมนุษยชนเป็นนโยบายสาธารณะร่วมกัน ต้องมีการฝึกอบรมปฐมนิเทศเจ้าหน้าที่แบบบูรณาการโดยมีกฎเกณฑ์มาตรฐานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจเอกชน การศึกษา และในระดับครอบครัวชุมชน
"กระบวนการจัดทำแผนแม่บท ควรต่อเนื่องทั้งในระยะ 5 -10-15 ปี โดยกำหนดเป็นนโยบายสาธารณะร่วมกัน และจำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาคและประเทศ"ศ.เสน่ห์ กล่าวถึงประการสุดท้าย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)