Skip to main content
sharethis

 

ประชาไท-5 สค. 48          อธิบดีกรมชลฯ ระบุ อุตสาหกรรมภาคตะวันออกยังขยายตัวได้อีก เพราะยังรองรับการใช้น้ำได้อีกเท่าตัวในช่วง 5-6 ปีนี้ แต่หากมากกว่านั้น ต้องย้ายการขยายของภาค อุตสาหกรรมไปที่อื่น

 

 

 

 

วันนี้ (5 สค.) นายสามารถ โชคคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน ได้เปิดแถลงข่าวถึงเรื่องปัญหาสถานการณ์ขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ในภาคอุตสาหกรรมภาคตะวันออก โดยยืนยันว่า กรมชลประทานยังสามารถจัดสรรน้ำให้ใช้ในภาคอุตสากรรมได้อีกถึง 300 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ต่อปี ในขณะที่ปัจจุบันใช้ประมาณ 160 ลูกบาศก์เมตรต่อปี

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมชลประธาน แสดงความเป็นห่วงเรื่องการขยายตัวของอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเช่นกัน เพราะขยายตัวรวดเร็วทำให้มีการใช้น้ำสูงมาก จากเมื่อปี 2541 ใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมเพียง 90 ล้านลูปบาศก์เมตรต่อปี แต่ในปัจจุบันการใช้น้ำสูงขึ้นอีกเท่าตัว เป็น 160 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทั้งนี้แผนการรองรับการใช้น้ำของกรมชลประธานสามารถรองรับได้ประมาณ 180 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

 

 

 

 

 

แต่ นายสามารถ กล่าวต่อว่า การใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมของปี 2548 ไม่เป็นไปตามนั้น ซึ่งต่อไปคงจะต้องหารือกันถึงมาตรการในการควบคุมการขยายตัวและการใช้น้ำของภาคอุตสหากรรม และหากจะให้ขยายตัวมากจนจะให้มี มาบตาพุด 2หรือ 3 นั้นคงต้องไปดูที่อื่น และไปวางแผนการจัดการน้ำรองรับไว้ด้วย

 

 

 

 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาภัยแล้งในภาคตะวันออกปีนี้ เป็นเพราะต้องป้อนน้ำเข้าภาคอุตสาห กรรม โดยการนำเอาทรัพยากรน้ำจากภาคส่วนอื่นมาป้อนเป็นหลักใช่หรือไม่

 

 

 

 

 

นายสามารถตอบว่า "ทุกภาคส่วนเกิดปัญหา ทุกภาคส่วนต้องแก้ไข น้ำต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็พิจารณาว่าจะใช้ในภาคอุตสาหกรรมให้เกิดประโยชน์อย่างไร แต่ก็ไม่ลืมหน้าที่เดิมที่ต้องจัดน้ำเพื่อการเกษตร และอุปโภคบริโภค ยังไม่ถึงขั้น เอาน้ำเพื่ออุตสาหกรรม"

 

 

 

 

 

ทั้งนี้ นายสามารถยืนยันว่า สิ่งที่ชาวบ้านในจังหวัดระยองข้องใจว่า จะนำน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแส ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่ใช้ในภาคเกษตรกรรม มาเชื่อมต่อกับอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่และโยงไปถึงอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ซึ่งจะนำน้ำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด แต่การใช้น้ำดังกล่าวจะทำก็ต่อเมื่อ ได้กันน้ำจำนวน 170 ล้านลูกบาศก์เมตร ไว้สำหรับพอเพียงในภาคเกษตร กรรม และการอุปโภคบริโภคแล้ว หากมีปริมาณน้ำเกินจากปริมาณดังกล่าว จึงจะดึงมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม

 

 

 

 

 

ส่วนในปี 2549 หากมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และหนองกราย ซึ่งเป็นอ่างที่เก็บน้ำไว้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมไม่เพียงพอ จะมีการวางท่อดึงน้ำจากแม่น้ำระยองตอนล่างมาใช้ ทั้งในส่วนที่จะเข้านิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และเข้าสู่บริษัทอีสต์วอเตอร์เพื่อบริหารจัดการน้ำต่อไป

 

 

รวมทั้งจะให้บริษัทดังกล่าวดำเนินการวางท่อเชื่อมอ่างเก็บน้ำประแสมายังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ด้วย

 

 

 

 

 

ทั้งนี้คาดว่าโครงการดังกล่าวน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนสิงหาคมนี้ และคาดว่าน่าจะเสร็จภายใน 6 เดือน

 

 

 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net