ประชาไท8 ส.ค.48 "ผมเป็นห่วงการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) เพราะที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ดึงองค์ความรู้จากระบบเศรษฐกิจมาใช้ ไปๆ มาๆ ก็ขึ้นตรงกับความเห็นดีเห็นงามของผู้นำอย่างเดียว โดยใช้แต่โมเดลทางคณิตศาสตร์เป็นหลักทำให้ไม่เห็นรายละเอียด ทั้งที่โดยพื้นฐานแล้วควรไปศึกษาก่อน"
รศ.ดร.สุทธิพันธ์ จิราธิวัฒน์ ประธานคณะกรรมการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ และศูนย์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนา"นโยบายการค้าระหว่างประเทศ: ปัจจุบันและอนาคต" จัดโดยคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รศ.ดร.สุทธิพันธ์ ได้ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ที่ผ่านมาการเจรจาเอฟทีเอของไทยกับประเทศต่างๆ นั้นเน้นการตีความในทางการเมืองเป็นหลัก แล้วค่อยดูผลกระทบทีหลัง
"การเจรจาเอฟทีเอตอนนี้ก็เดินไป ส่วนที่เหลือก็เก็บกวาดเอาทีหลัง เราละเลยส่วนที่มีปัญหาเช่น การส่งเสริมโคนมในประเทศ ทั้งๆ ที่ทำเอฟทีเอกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ซึ่งเราสู้เขาไม่ได้ สำหรับอุตสาหกรรมนมยังไงก็เหลือนมสดอย่างเดียวที่พอไปได้ เราจะกู้การผลิตนมสดได้อย่างไร หากมีต้นทุนสูงก็ต้องหาแนวทางปรับปรุงไปทำอย่างอื่น ซึ่งผลกระทบในแต่ละเรื่องแต่ละด้าน ต้องจัดการให้สัมพันธ์กัน"รศ.ดร.สุทธิพันธ์กล่าว
นอกจากนี้รศ.ดร.สุทธิพันธ์ ยังมองว่า ไทยมีปัญหาด้านความพร้อมขององค์กรตรวจสอบสินค้าที่ยังไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ขณะที่ไทยจะไปค้ากับต่างประเทศต้องผ่านมาตรฐานของต่างประเทศ นอกจากนี้การเจรจาข้อตกลงเอฟทีเอของไทยได้ทำพร้อมกันกับหลายๆ ประเทศ ในขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่มีน้อย ทำให้ไม่สามารถติดตามเรื่องต่างๆ ให้ครอบคลุมได้
อย่างไรก็ตาม อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ระบุว่า "เอฟทีเอกับสหรัฐฯ ผมค่อน ข้างเป็นห่วง เพราะใช้เกณฑ์ที่เข้มข้นกว่าในWTO เช่น สิทธิบัตรในพืชและสัตว์ ซอฟแวร์ ฯลฯ ซึ่งกฎเกณฑ์ของ WTO ไปไม่ถึง เอฟทีเอไทย-สหรัฐจึงอาจกลายเป็นเครื่องมือที่เรายอมรับสหรัฐไปแล้วในตัว"
"อย่างไรก็ตาม ความยุ่งยากซับซ้อนของเอฟทีเอจะทำให้ไทยกลับสู่ WTO เพราะตอนนี้เหมือนก๋วยเตี๋ยวผัดไทผสมฝรั่ง ยุ่งเหยิงเหมือนยุงตีกัน ทั้งความไม่สอดคล้องของนโยบายทั้งภายในและภายนอก"รศ.ดร.สุทธิพันธ์กล่าว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง