เรียบเรียงจากการปาฐกถาเรื่อง "60 ปี แห่งการเสริมสร้างสันติภาพไทย" โดยนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เนื่องในงานฉลอง 60 ปี วันสันติภาพไทย ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 16 สิงหาคม เป็น "วันสันติภาพไทย" และเป็นวันที่รำลึกถึงวีรกรรมกู้ชาติของขบวนการเสรีไทย ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกด้วย
ประชาไท16 ส.ค. 48 วันนี้ นาย
ทั้งนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และหัวหน้าขบวนการเสรีไทยได้ประกาศสันติภาพเมื่อวันที่ 16 ส.ค. 2488 เป็นพระบรมราชโองการในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไขต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้ว นับเป็นการประกาศยืนยันเอกราชและอธิปไตยของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองจากฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะสงคราม
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้จึงครบรอบ 60 ปี ในการประการสันติภาพดังกล่าว โดยนายสุลักษณ์ มองว่า "ในรอบ 6 ทศวรรษนี้ได้มีการเสริมสร้างความขัดแย้งและความรุนแรงทั้งในประเทศมากกว่าสันติ
ภาพเสียอีก" โดยถ้าความเป็นไปในบ้านเมืองและโลกมีประชาธิปไตยที่เนื้อหาสาระก็เท่ากับว่าเป็นการสร้างสันติภาพแล้ว แต่ถ้าเป็นยังคงเป็นเผด็จการมากเท่าไรนั่นคือการลิดรอนเสรีภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งและรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
ย้อนรอยเสรีไทย
นายสุลักษณ์เล่าว่า นาย
หลักธรรมของสัตตบุรุษ: สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ
คำๆ หนึ่งที่ต้องตราไว้คือ นายปรีดี พนมยงค์ หัวหน้าขบวนการเสรีไทยที่ติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตร ใช้รหัสตนเองว่า "รูธ (ruth)" ซึ่งเชื่อว่าย่อมาจาก "ทรูธ(Truth)" หรือแปลว่าสัจจะ นับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ เพราะถ้าปราศจากสัจจะหรือความจริงใจต่อกันเสียแล้ว มนุษย์ย่อมจะงอกงามขึ้นไม่ได้
ทางพุทธศาสนาเปรียบมนุษย์เป็นดังต้นไม้หรือสัจจะ คือถ้าพืชพันธุ์ที่ดีถ้าลงไปในดินแล้วเติบโตได้ดีก็คือมีทมะ และหากว่าสามารถทนทานต่อดินลมฝนแม้แต่พายุได้ก็คือขันติ จากนั้นจึงงอกงามเต็มที่จนแผ่กิ่งก้านให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และสัตว์ได้อาศัยร่มใบเรียกว่าจาคะ
ต้นไม้ฉันใดมนุษย์ก็ฉันนั้น มนุษย์จึงควรมีความจริงใจโดยปรับตัวให้มีความอดทนเพื่อให้เกิดผลประโยชน์หรืออุดหนุนจุนเจือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ ซึ่งนายปรีดี พนมยงค์ได้ยึดหลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ไว้ โดยยิ่งในช่วงวิกฤติการสงครามนั้นแล้วความจริงใจและการปรับตัวอย่างรู้เท่าทันด้วยความอดทนมาโดยตลอด เพื่อให้บ้านเมืองและราษฎรเป็นปกติสุข แต่ถ้าหากบ้านเมืองขาดความจริงจังและจริงใจแล้วสันติภาพย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ อย่างที่พูดว่า "สภาที่ปราศจากสัตตบุรุษหาใช่สภาไม่"
ทั้งนี้ นายสุลักษณ์ อธิบายต่อไปว่า สัตตบุรุษก็คือคนที่พูดจริงทำจริง ถ้าพูดหาสาระไม่ได้ก็เท่ากับขาดสัจจะ ก็เท่ากับเป็นของปลอม เป็นของกึ่งจริงกึ่งเท็จไปหมด โดยจะหาสาระในชีวิตไม่ได้เลย โดย
เฉพาะอย่างยิ่งหากว่าทางการเมืองมีสัจจะแล้ว สันติภาพกับเอกราชก็จะต้องได้ไปด้วยกัน โดยจะต้องเป็นเสรีภาพที่เนื้อหาสาระไม่ใช่แบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา สันติภาพก็จะนำไปสู่ภราดรภาพในที่สุด โดยเริ่มจากทางพฤตินัยไปสู่เอกภาวะในสังคมวัฒนธรรมที่มีสุขภาวะ ในทางบ้านเมืองฉันใด
ในทางพลเมืองนั้นแต่ละคนก็ต้องเคารพตนเอง ตนเองต้องเป็นไท ต้องเคารพตนเอง และฝึกปรือสันติภาวะที่อยู่ในตัวตนและนำออกมาเกื้อกูลผู้คนอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือการเคารพตนเองและคนอื่นโดยไม่คำนึงว่าใครจะสูงต่ำดำขาว มีชาติวุฒิหรืออำนาจ ตามสถานภาพที่สังคมกำหนดให้ สิ่งนี้จึงเป็นแนวทางภราดรภาพและเสมอภาคอย่างแท้จริง
ขบวนการกู้ชาติ ปลูกเอกราชในเอเชียอาคเนย์
นับว่า 16 ส.ค. 2488 เป็นจุดเริ่มของการเสริมสร้างสันติภาพไทยในทางการเมือง แม้ว่าประชาธิปไตยจะกลับคืนมาไม่เต็มที่ แต่เอกราชก็ได้กลับคืนมาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย โดยมีสันติภาพมากขึ้นทั้งทางการเมืองและการศึกษา โดยทางการเมืองและการปกครองมีสันติภาพไปพร้อมกันในขณะนั้น
ขณะที่ ประเทศในเอเชียอาคเนย์ล้วนเสียอิสรภาพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นเข้ามายึดแทน โดยใช้คำว่าเข้ามาปลดแอกจากชาติตะวันตก แต่ก็เท่ากับญี่ปุ่นยึดเป็นอาณานิคมของตนเอง ซึ่งประเทศอื่นหาได้อิสรภาพไม่
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามทุกประเทศที่เคยถูกญี่ปุ่นยึดครอง ก็ต้องต่อสู้กับความเป็นอิสระภายในอีก ซึ่งความข้อนี้นายปรีดี ถือว่ามีคุโณปการสำคัญโดยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการกู้ชาติประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเวียดนาม กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย เราต้องการเอกราชฉันใดเพื่อนบ้านก็ต้องการเอกราชฉันนั้น โดยประเทศต่างๆได้ขอให้ทางเราช่วย ในฐานะที่พอช่วยได้ ไม่ใช่เบียดเบียนบีฑาเพื่อนบ้านอย่างเลวร้ายดังในปัจจุบันนี้ โดยปรึกษาหารือการตั้งสหชาติเอเชียอาคเนย์ เพื่อรวมเอกราชเอาไว้ด้วยกันแม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีลัทธิการปกครองต่างกัน แต่ก็มารวมกันอย่างสามัคคีธรรม ทำให้ย่อมมีพลังต่อรองกับอภิมหาอำนาจหรือประเทศอื่นๆ เพราะนายปรีดี มองเห็นแล้วว่าเมื่ออินเดียมีอิสรภาพก็จะเป็นใหญ่ในเอเชีย
ในที่นี้เอกราชหมายถึงความเป็นหนึ่ง เอกะคือการทำให้เกิดเป็นไททั้งประชาชาติและประชากร ราชะคือก่อให้เกิดความยินดี ประชาชนปราศจากความด้อยในความเป็นเมืองขึ้นอาณานิคมหรือเจ้าขุนมูลนาย สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือแม้แต่ทักษิณาธิปไตย
เอกราชหมายถึงประชาชาติและประชาชนเกิดความยินดีในการปกครองนั้นๆ เรียกว่าIndepen
dent หมายถึง ประเทศชาติเอกราช ส่วนเอกราชของประชาชนให้คำว่า Free ดังนั้นเอกราชและอิสรภาพจึงเป็นไวพจน์กัน ราษฎรก็จะมีความเป็นไท มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ประชาธิปไตยคือฟังเสียงคนส่วนใหญ่และส่วนน้อยด้วย โดยแต่ละท้องถิ่นก็มีความเป็นไทเช่นเดียวกัน เอกราชจึงหมายถึงแต่ละท้องถิ่นภูมิภาคมีความเป็นไทและพึ่งพาอาศัยกัน
อย่างไรก็ตาม สหชาติเอเชียอาคเนย์ ได้กำหนดบริเวณหนึ่งๆย่อมเป็นไทยและมีอำนาจปกครองตนเอง ที่น่าสังเกตคือได้เลือกนาย
หากรัฐบาลไม่ดำเนินนโยบายผิดพลาดไปเสียก่อนในสงครามโลกครั้งที่ 2 การรวมชาตอทั้งลาว,ไทยใหญ่ก็มีแนวโน้มรวมกับประเทศไทยในเวลาต่อมา โดยให้เอกราชในการปกครองตนเอง สามารถดำรงอธิปไตย เอกราชและสันติภาพไว้ได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงการเสริมสร้างสันติภาพไทยตั้งแต่ปี 2488 กับภูมิภาคต่างๆ เป็นไปด้วยดี
เมื่อสัจจะปลาสนาการไปจากการเมืองไทย
การเสริมสร้างสันติภาพไทยทั้งภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านด้วยขบวนการประชาธิปไตย มาสะดุดและยุติลงเมื่อ 8 พ.ย. 2490 ด้วยการยึดอำนาจรัฐประหารภายใต้จอมพล ป.พิบูล สงคราม และพลโทผิน ชุนหะวัณ แม้รูปแบบประชาธิปไตยจะอยู่จนถึงปี 2551 แต่เนื้อหาประชาธิปไตยลดหายไปทุกที รัฐบาลเผด็จการในการเมือง ถูกก้าวก่ายจนเกิดกบฏแยกดินแดน มีการถูกประหารจองจำและถูกจองล้างจองผลาญด้วยประการต่างๆ เป็นอันว่าสันติภาพได้ปลาสนาการไปแทบทุกส่วน ที่สำคัญสัจจะก็ปลาสนาการไป
ทั้งนี้ คนดีไม่สามารถดำรงอยู่ได้ทางการเมือง มีแต่พวกปลิ้นปล้อนนักฉวยโอกาส ผู้ขาดจุดยืนทางคุณธรรมใดๆ ทั้งสิ้นได้รับคำสรรเสริญเยินยออย่างปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์อันชอบธรรม คนดีๆ ก็ไม่ได้รับยอมรับ นักการเมืองที่โกงกินมีอนุสาวรีย์ไว้ขายความอายอย่างกว้าง
ขวางทั้ง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, พล.ตร.อ. เผ่า ศรียานนท์ หรือดูชื่อของอนุสรณ์สถานของสถานที่ราชการต่างๆ เป็นตัวอย่างก็ได้ทุกแห่งหน
ความกึ่งจริงกึ่งเท็จ เอามาแทนที่สัจจะ การเรียนรู้เป็นไปอย่างมอมเมามีแต่ความกึ่งดิบกึ่งดี แม้แต่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองก็เปลี่ยนชื่อไป สาระทางธรรมก็ขาดหายไปกับสถานบันการศึกษาแห่งนี้ รับใช้เงิน,อำนาจและวิทยาการฝรั่งทำให้ความรู้ทางธรรมขาดเป็นเสี่ยงๆ อย่างขาดองค์รวม โดยเน้นที่หัวสมองโดยขาดการโยงไปที่หัวใจ เป้าหมายการศึกษาให้ผู้เรียนไต่บันไดทางสังคมไปเรื่อยๆ เมื่อสำเร็จการศึกษาก็จะมีอาชีพที่เหมาะสมกับชั่วโมงบิน โดยที่นั่นจะเป็นมิจฉาชีพหรือสัมมาอาชีพไม่ใช่เป็นประเด็น สถานศึกษาที่จะให้อิสระและเพื่อผู้ยากไร้จึงเป็นไปไม่ได้
ความวิกฤตวิปลาสของสังคมไทย
ชื่อของนายปรีดี พนมยงค์กลายเป็นมารร้ายที่แย่งชิงประชาธิปไตยไปจากในหลวงรัชกาลที่7 โดยกล่าวหาว่าลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 เมื่อเขาตายจาก ในปี 2525 สมาชิกรัฐสภาไทยที่เขาก่อตั้งขึ้นมาไม่ยืนไว้อาลัยให้เขาแม้แต่ 1 นาที การนำเสนอชื่อไปยูเนสโกเพื่อให้เป็นคนสำคัญระดับโลกในงานฉลองชาติการก็เป็นไปอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะชั้นปกครองยังกลัวสัจจะและกลัวคนดี โดย ไม่เข้าถึงคุณงามความดีของคนที่ปิดทองหลังพระ อย่างนายดิเรก ชัยนาม ซึ่งตกไปชื่อทั้งๆที่ควรมีการให้เกียรติ โชคดีที่นายกุหลาย สายประดิษฐ์ ผ่านยูเนสโกไปได้ในฐานะคนสำคัญของโลก
วันนี้คำว่าสันติภาพกลายเป็นคำโสโครกไป เมื่อเกิดกบฏสันติภาพในปี 2495 และในโลกเสรีนิยมที่ยอมรับการพัฒนา ทำให้สันติภาพมีความหมายเลวร้าย ทั้งในโลกเสรีประชาธิปไตย ไทยก็เดินตามก้นสหรัฐมาตั้งแต่ปี 2495 นั่นคือการทำลายเสรีภาพของไทยไปอย่างไม่รู้ตัว
การทำลายล้างสันติภาพและความยากไร้ได้ขยายขอบเขตไปสู่ชนชั้นกลางมากขึ้น รัฐเดินตามนโยบายสหรัฐอย่างเซื่องๆ แม้ว่าจะไม่เป็นอาณานิคมของฝรั่งทางการเมือง แต่ไทยก็อยู่ใต้อำนาจมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะที่ทุนขยายออกไป โดยใช้ความรุนแรงเป็นฐานหลักแม้จะเป็นคนไทยอย่างเดียวกัน และกำลังขยายความรุนแรงเพิ่มขึ้นระหว่างคนชั้นบนกับคนชั้นล่าง คนกลุ่มน้อยรังแกคนกลุ่มใหญ่ การเอารัดเอาเปรียบนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความรุนแรง
ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเกิดจากอีกฝ่ายที่สู้ด้วยกฎหมายไม่ได้ก็สู้โดยไม่ใช้กฎหมาย เวรย่อมระงับไม่ได้ด้วยการจองเวร เพราะมัวมุ่งเสาะแสวงหาความร่ำรวยในระยะสั้น ดังนั้นการหาทางออกก็คืออหิงสา การท้าทายแนวคิดกระแสหลัก ต้องตั้งข้อกังขา โดยการทำให้โปร่งใส และนำความทุกข์โยงกับอกุศลทั้ง โลภ โกรธ หลง จึงมีความสำคัญ
ขณะนี้คนถูกทำให้เคารพนับถือเงิน เรานำภาระหนักมาให้ บัดนี้คนได้กลายเป็นหัวของทุนนิยมไปหมดแล้ว ถ้าไม่ซื้อก็หมดค่าของคน และนี่ก็คือที่มาของความรุนแรง
เข้าใจชีวิตด้วยวิถีพุทธ
ศาสนาพุทธสอนว่า เพราะหายใจฉันจึงมีชีวิต เราหายใจตลอดแต่เราไม่ให้ความสนใจ เราไม่ให้ความสนใจกับลมหายใจเราเลย จึงจำเป็นต้องฝึกอาณาปานสติกำหนดลมหายใจ
เราควรเข้าใจชีวิตของเรานั้นว่า ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ของเรา แต่ก็สำคัญไม่น้อยกว่าเราและต้องแสวงหากัลยาณมิตร หัวใจของพุทธศาสนาคืออริยสัจ 4 แต่ทุกวันนี้คนเราไม่ยอมเข้าถึงความทุกข์แต่หนีทุกข์ ขณะที่โลกาภิวัตน์ทำให้เราไม่คำนึงถึงสาระของชีวิตและปฏิเสธสันติภาวะ
ทั้งนี้ ชีวิตมนุษย์ในศาสนาพุทธ ประกอบด้วย 3 ประการ คือการดำรงชีวิตที่อิสระ การไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งจะเกื้อกูลอิสรภาพทางปัญญาในประการสุดท้าย ทั้งยังควรพอใจในความเรียบง่าย ความเห็นแก่ตัวลดลง มีความสงบ นั่นคือหลักสำคัญของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ โดยจำเป็นต้องมองความหลงอย่างรู้เท่าทัน มีจิตสิกขาโยงกับปัญญาสิกขา
สู่สันติธรรมในอนาคต
การนำนโยบายแบบเดิมไม่อาจปรับวิกฤติให้เป็นโอกาสได้ หากยังยึดติดกับ โลภ โกรธ หลง ซึ่งขณะนี้พลังนอกระบบกำลังก่อตัวขึ้น ผู้บุกเบิกที่สำคัญคือเอ็นจีโอ เนื่องจากเห็นแล้วว่าในระบบทุนนิยมปัจจัยต่างๆ ล้วนส่งมาข้างบนลงล่าง ทำให้เกิดช่องว่างสูงขึ้น
อย่างไรก็ดี เอ็นจีโอ ชนชั้นกลาง ได้ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ทั้งยังเน้นชนกลุ่มน้อย โดยปัจจุบันอาจถือได้ว่าสมัชชาคนจนยิ่งใหญ่ที่สุดในตอนนี้ ซึ่งยึดหลักพอเพียง พอดี และสมดุล โดยทำเพื่อสังคมส่วนรวม โปร่งใส เปิดเผย ร่วมมือ และเสริมสร้างจากบรรพชน ซึ่งขณะนี้ผู้หญิงก็มีบทบาทมากขึ้น จึงเป็นความหวังในการสร้างความเข้มแข็งที่กำลังเริ่มจากจุดเล็กๆ นี้ เพราะนี่คือฐานสำคัญในการสร้างสันติธรรม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- "ขบวนการเสรีไทย" ประวัติศาสตร์ที่ควรเรียนรู้และจดจำ
- ทำไม"ตำนานเสรีไทย" ไม่ถูกบรรจุในตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย
- บางถ้อยคำของรัฐบุรุษ : ปรีดี พนมยงค์
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)