ประชาไท24 ส.ค. 48 นายมารุต บุนนาค ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ชี้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ขัดหลักพื้นฐานประชาธิปไตย อ้างความเร่งด่วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 218 ฟังไม่ขึ้น พร้อมระบุขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน เผยรู้ดีว่าสภาฯ อนุมัติ พ.ร.ก.แน่ แต่รัฐบาลควรรับไปแก้ไข
ช่วงบ่ายวันนี้ มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 1 สมัยสามัญนิติบัญญัติ โดยนำพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 มาอภิปรายก่อนลงมติเป็นญัตติแรก โดยมีทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้านและรัฐบาลแสดงหลักการและความคิดเห็นต่อพ.ร.ก. ดังกล่าว
ทั้งนี้ นายมารุต บุนนาค สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่มีใครไม่เคยเห็นด้วยในการแก้ไขเหตุการณ์จลาจลในพื้นที่ 3 จังหวัดในภาคใต้ แต่ต้องมองว่า แก้ปัญหาอย่างไร มีกฎหมายที่เป็นธรรมหรือไม่ โดยเห็นพ้องกับกฎหมายที่มีอยู่แล้วมากมาย หากว่า มีการปฏิบัติที่นุ่มนวล และเป็นธรรมโดยสุจริต ไม่ใช่มีกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเกลียดแค้น เกลียดชัง และการทารุณ ซึ่งยังจะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายต่อไป
นายมารุต ได้ยกมาตรา 218 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ที่บัญญัติไว้ว่า พระราชกำหนดจะตราขึ้นได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติได้ ทั้งนี้การตรา พ.ร.ก. จะกระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วน อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้
"เมื่อ พ.ร.ก. อ้างความจำเป็นเร่งด่วน ตามมาตรา 218 ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนขนาดนี้ เพราะเหตุการณ์ภาคใต้เกิดขึ้นมานานแล้วไม่ใช่อ้างพ.ร.ก.ว่ามาใช้เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นและถ้ารัฐบาลใจกว้างพอก็น่าจะเสนอเป็นพระราชบัญญัติ เพื่อให้ฝ่ายค้านได้แสดงความคิดเห็นพิจารณาและให้โอกาสวุฒิสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ก็จะเป็นประโยชน์และจะทำให้กฎหมายนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น" นายมารุต กล่าวถึงจุดเริ่มของพ.ร.ก.ฉบับฉุกเฉิน
ขณะเดียวกัน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยกมาตราใน พ.ร.ก. ฉบับฉุกเฉินขึ้นมาอธิบายในหลายมาตรา ได้แก่ มาตรา 7 ที่กำหนดให้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตีว่าการกระทรวงหรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ให้โอนแก่นายกรัฐมนตรี และ มาตรา 8 ที่บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายคำสั่งแต่งตั้งคณะบุคคลหรือบุคคลเป็นที่ปรึกษา ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงมากหากมอบเด็ดขาดให้คนเพียงคนเดียว
ทั้งนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลักการมอบอำนาจให้คนคนเดียวเป็นอันตรายมาก โดยเคยพบว่าเมื่อมีการลงโทษ จะเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อมีการทำสำนวนสอบสวนปรากฏว่าสุจริต อัยการไม่ส่งฟ้องศาล แต่นายกรัฐมนตรีกลับสั่งจำคุกได้ นับเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงมาก เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มีใครรับผิดชอบ ดังนั้นพฤติกรรมในอดีต ปัจจุบันก็ต้องคำนึงถึงด้วย
ต่อมา มาตรา 9 ที่ประกาศว่าในสถานการณ์ฉุกเฉินนายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจพิเศษ 6 ประการ มาตรานี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญใครจะชี้ขาดตัดสิน ย่อมมีเสรีภาพชุมนุมอย่างเปิดเผย โดยสงบ ปราศจากอาวุธ มาตรานี้ขัดรัฐธรรมนู
สำหรับมาตรา 13 ที่เกี่ยวกับการห้ามการเสนอข่าวสารนั้น จากประวัติศาสตร์ หากรัฐบาลทำการใดไม่ถูกต้องจะมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นในประเทศประชาธิปไตยการสื่อสารจึงมีขึ้นเพื่อให้ทุกฝ่ายได้โอกาสแสดงความคิดเห็น
ขณะที่ มาตรา 11 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการได้ 10 ประการ โดยเฉพาะในวงเล็บ1 ที่ให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่จับกุม ผู้ที่สงสัยว่าได้ร่วมกระทำความผิด เป็นเพียงสงสัยก็สามารถจับมาสอบสวนได้ สอดคล้องกับมาตรา 12 ที่ให้พนักงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ที่ใดก็ได้ที่ไม่ใช่เรือนจำ สถานีตำรวจหรือทัณฑสถาน
หากแต่ประมาลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. 2518 กำหนดให้ ผู้ถูกจับกุมต้องมีหลักฐานพอ
สมควร และต้องแจ้งข้อหาให้ทราบ เพื่อให้ผู้ถูกจักกุมได้มีโอกาสเตรียมหลักฐานต่อสู้ต่อไป ไม่ใช่ว่าจะนำผู้ถูกจับกุมไปไว้ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนให้ถูกอุ้มไปเก็บไว้
มาตรา 16 ที่บัญญัติไว้ว่า ข้อกำหนด ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชกำหนดนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาลยุติธรรม โดยเป็นพื้นฐานระบอบประชาธิปไตย เท่ากับขัดการใช้หลักนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ทั้งยังเป็นการขัดสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ รวมถึงขัดกับความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีอีกด้วย
ขณะที่ มาตรา 17 ที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งต่อกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา หากเป็นการกระทำที่สุจริต นายมารุตเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบัญญัติไว้ เพราะถ้าการปฏิบัติใดที่ไม่สุจริตก็มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องระบุว่าแค่ไหนคือสุจริต ซึ่งจะก่อให้เกิดความยุ่งยากในความรู้สึกของคนทั่วไป
นายมารุดกล่าวว่า พ.ร.ก.ดังกล่าว ขัดกับหลักพื้นฐานของประชาธิปไตย ขัดกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของกระบวนการสอบสวนและความผิดทางอาญา โดยใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อประชาชนทั่วไปมานานนานแล้ว
"พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีลักษณะเหมือนกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 ที่บัญญัติไว้ว่าการบัญญัติกฎหมายให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่า ด้วยธรรมนูญศาลหรือวิธีพิจารณาเพื่อใช้แก่คดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ จะกระทำมิได้ แต่ พ.ร.ก.ฉบับนี้ ได้ยกเว้นแก้ไขเปลี่ยนแปลง ซึ่งน่าจะขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 235 แน่นอน" นายมารุต ยืนยัน
อย่างไรก็ตาม นายมารุตกล่าวว่า ฝ่ายค้านต้องการแก้ไข พ.ร.ก. ฉบับนี้แม้ว่าจะมีเสียงไม่มากพอ แต่ต้องการให้มีความถูกต้องตามหลักยุติธรรม โดยไม่ประสงค์ติเตียนรัฐบาลแม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะไม่เห็นชอบตาม พ.ร.ก. นี้ก็ตาม โดยเชื่อว่าพ.ร.ก.นี้ต้องผ่านสภาแน่นอน แต่ถ้ารัฐบาลใจกว้างที่จะรับฟังจากทุกฝ่ายเพื่อแก้ไขให้ถูกต้องภายหลังก็นับเป็นสิ่งที่ดี