ประชาไท25 ส.ค. 48 กรรมาธิการภาคประชาชนฯ สับนโยบายประชานิยมของทักษิณยับ ทำได้แค่เปลี่ยนคนยากจนให้เป็นปลาซิวกินขี้ปลาช่อน แถมสร้างมรดกทางหนี้สินคงใช้หนี้คืนได้ในชาติหน้า ที่ประชุมเห็นพ้องรัฐบาลใช้เพื่อหาเสียงเลือกตั้งเท่านั้น
"ระบบทุนนิยมปลาใหญ่ก็กินปลาเล็ก แต่ในระบบทักษิโณมิกษ์คิดให้ปลาเล็กกินปลาใหญ่ ปลาซิวกินปลาช่อน แต่ก็กินได้แต่ขี้ปลาช่อน เหลือรอดเฉพาะผู้มีทุนเหนือกว่า จะให้คนจนเปลี่ยนไปเป็นเถ้าแก่จึงไม่มีทางเป็นไปได้" นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา ประธานกรรมาธิการ(กมธ.) ภาคประชาชนตรวจสอบนโยบายความยากจนและสังคม กล่าว
ทั้งนี้ กรรมาธิการภาคประชาชนตรวจสอบนโยบายความยากจนและสังคม เปิดประชุมครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ "นโยบายประชานิยมกับการแก้ปัญหาความยากจน" ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารประชาธิปก รำไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25-26 ส.ค. นี้
ขณะที่ ในห้องประชุมมีคณะกรรมาธิการและเครือข่ายภาคประชาชนจากทั่วประเทศมาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างคับคั่ง โดยมีนักวิชาการได้เสนองานวิจัยนโยบายประชานิยม เช่นนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(โอทอป) ปัญหาหนี้สินและนโยบายการพักชำระหนี้
นโยบายแปลงทรัพย์สินเป็นทุน เป็นต้น
นายสมเกียรติ ได้กล่าวสรุปสังเคราะห์นโยบายประชานิยมภายหลังการประชุม ว่าในปี 2544 มีนโยบายประชานิยม 5 นโยบาย แต่พอมาในปีนี้มีถึง 23 นโยบาย และคาดว่าเมื่อถึงปี 2552 จะมี 100 กว่านโยบาย จากตัวเลขข้อมูลพบว่านโยบายเหล่านี้มีความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว เนื่องจากกใช้ทดแทนทั้งความสมหวังและผิดหวัง และวันนี้ผู้ที่มาร่วมประชุมก็ได้เสพประชานิยมไปแล้วแต่ถือว่ายังไม่ติดเบ็ด
ประธานกรรมาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า "นโยบายประชานิยมมีลักษณะพิเศษ คือเข้าถึงได้เร็ว ได้ง่าย และสัมผัสได้ทันที เพราะส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินและเป็นตัววัตถุ ทำให้เกิดภาวะติดพันตามมาโดยเฉพาะเรื่องหนี้สิน อย่างเช่นตอนนี้ชาวบ้านมีแหล่งกู้เงินในระบบถึง 13 แหล่ง และส่วนใหญ่ก็มีกัน 3-5 บัญชี"
ขณะเดียวกัน นายสมเกียรติ มองว่า นโยบายประชานิยมนั้นเห็นผลเร็ว แต่ส่วนใหญ่เห็นไปในทางล้มเหลว และกึ่งๆ ล้มเหลว ที่สำเร็จมีเพียงส่วนน้อย ขณะที่ยังไม่มีตัวเลขความรอดเหลือของชาวบ้านหลังรัฐบาลใช้นโยบายเหล่านี้ ซึ่งตอนนี้มีผู้ประกอบการไม่เกิน 15% ที่ประสบความสำเร็จ
โอท็อปแค่สร้างภาพ
สำหรับนโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือโอท็อป กลุ่มชาวบ้านมีอัตราอยู่รอดน้อยมาก ทั้งๆ ที่รัฐไม่รับรู้กว่าอีก 50% โดยรัฐรับรู้เพียง 5,000-7,000 รายการ แต่ยังมีส่วนที่หายไปเกินกว่าครึ่ง ส่วนน้อยนี้เป็นการโฆษณาโดยรัฐพยายามหาตลาดให้ จัดหาคนซื้อ ถือเป็นการสร้างภาพ ซึ่งส่วนที่หายไปนี้อาจมีมูลค่ามากกว่าการส่งออกเสียอีก เท่ากับเป็นการสร้างทุนติดลบค่อนข้างมาก
ส่วน นโยบายการพักชำระหนี้เกษตรกร นายสมเกียรติ เปิดเผยว่า "มีถึง 87% ที่ไม่มีปัญญาชำระหนี้ในชาตินี้ ถือเป็นโครงการหวังผลได้ในชาติหน้า เพราะในชาตินี้คงไม่เป็นจริง ตอนนี้เราเข้าถึงแหล่งเงินได้มากเพราะมีหลายกอง และมีข้อมูลที่เป็นเท็จมาก ชาวบ้านโกหกว่าจะกู้ยืมเงินไปเขียนโครงการแต่ไม่ทำจริง เท่ากับว่าเราส่งเสริมข้อมูลอันเป็นเท็จกันทั้งหมู่บ้าน เป็นการทำลายศีลธรรม ฆ่าเกษตรกรอย่างเลือดเย็น รัฐบาลต้องยกเลิกหนี้สินให้เกษตรกรโดยสิ้นเชิง ผมสนับสนุนให้เกิดขบวนการเบี้ยวหนี้แห่งชาติ"
"นโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ต้องพูดถึงโจรสลัดชีวภาพที่มีผลกระทบรุนแรงมาก เพราะภูมิปัญญาสั่งสมมาเป็นเวลานานของภาคชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวมีขั้นตอนสำคัญ 3 ประการคือ ขั้นตอนแรก แปลงให้เป็นหนี้ โดยเอาสินทรัพย์ไปกู้เงินมา ขั้นที่ 2 แปลงหนี้เป็นสินค้า และขั้นสุดท้าย แปลงสินค้าเป็นรายได้ แต่ว่าคนไทยหักเหในขั้นที่ 2 โดยไปซื้อสินค้าเลย ทำให้เกิดปัญหาหนี้สินค่อนข้างมาก เท่ากับเป็นการสนับสนุนการเป็นหนี้และยิ่งผูกพันกับที่ดินด้วย เมื่อที่ดินหลุดมือไปก็เป็นอันตรายใหม่ของชาติ" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฎนครราชสีมา แสดงความกังวล
นายสมเกียรติ เห็นว่า นโยบายประชานิยมทำให้เกิดระบบภาวะหนี้สินขึ้นมากมาย ในพื้นที่มีระบบการเช่าเงิน เพื่อชำระหนี้ก้อนเดิมเป็นวงจรเพิ่มหนี้มากขึ้น ตอนนี้ชาวบ้านมีหนี้ตกเรือนแสนต่อหัวแล้ว เมื่อกู้แล้วผลผลิตไม่เพิ่มขึ้นมา ชาวบ้านมีหนี้สูงขึ้นแต่รายได้ไม่ขยับตามขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม นายสมเกียรติ กล่าวในที่สุด "ไม่มีใครปฏิเสธนโยบายประชานิยมว่าเป็นเรื่องการเมืองเพื่อหาเสียง ทุกคนในที่นี้เห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ ว่านโยบายเหล่านี้ทำให้คงสภาพทุนติดลบหรือมีหนี้สินนั่นเอง ในที่สุดคนยากคนจนก็จะทิ้งไว้เพียงพินัยกรรมมอบหนี้สินให้ลูกสืบทอดต่อไป"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)