ประชาไท27 ส.ค. 48 กมธ.ภาคประชาชน สรุปปัญหานโยบายประชานิยมในการปิดประชุมวันนี้ รวมตัวเปิดความกลวงและความไม่เพียงพอของนโยบายประชานิยม พร้อมแถลงข้อเสนอ 5 ประการต่อรัฐบาล
วานนี้(26 ส.ค.) กรรมาธิการภาคประชาชนตรวจสอบนโยบายความยากจนและสังคม ได้ปิดการประชุมครั้งที่ 1 ภายใต้หัวข้อ "นโยบายประชานิยมกับการแก้ปัญหาความยากจน" ที่ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลง กรณ์มหาวิทยาลัย ต่อจากเมื่อวานนี้
ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้วิจัยนโยบายประชานิยม กล่าวว่า "นโยบายประชานิยมสะท้อนความก้าวหน้าของคนยากคนจน เพราะพรรคการเมืองได้หยิบยกปัญหาของคนจนมาเป็นนโยบาย แต่ก็ยังมีปัญหาด้านฐานคิดของนโยบาย โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการที่จะทำให้คนจนหมดไปภายใน 6 ปี ที่ใช้ตัวชี้วัดประชากรว่าหากมีรายได้ต่อหัวปีละ 20,000 บาท/ปี ก็ผ่านเส้นความยากจนแล้ว ซึ่งเท่ากับประชาชนมีเงินซื้อข้าวกินมื้อละ 18 บาทก็ผ่านเกณฑ์แล้ว ถ้าใช้ตัวชี้วัดเช่นนี้คงสำเร็จตามที่ประกาศไว้"
นอกจากนี้ ดร.
"ปัญหาของนโยบายประชานิยม คือ มายาคติของเกณฑ์การชี้วัดความสำเร็จ ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวมีลักษณะหลวมๆ กลวงๆ เป็นมายาคติในการสร้างความสำเร็จ หากว่าแท้จริงแล้วสมัชชาคนจนต้องการอำนาจและโอกาส แต่ประชานิยมมาตอบปัญหาด้วยการสงเคราะห์ เป็นการปกปิดปัญหาที่แท้จริง ทำให้ปัญหาเชิงนโยบายที่จะต้องออกกฎหมายลูกไม่มีความคืบหน้า เท่ากับว่ามือหนึ่งแจกมือหนึ่งเขกหัวและแย่งชิงทรัพยากรจากประชาชน" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แสดงทัศนะ
ทั้งนี้ ประชานิยมยังมุ่งเป็นยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทางการเมือง เนื่องจากอยากได้มวลชน โดยสังกัดระบบอุปถัมภ์ใหม่ผ่านกลไกของพรรคการเมือง ทั้ง นี้ยังเป็นการสร้างชาตินิยม ที่มักยกสิ่งที่ "สุดยอด" หรือ "เป็นหนึ่ง" และในที่สุดรัฐบาลก็ระดมว่ารัฐบาลเป็นผู้นำชาตินี้ไปโดยปริยาย จากการใช้ภาษาผ่านนโยบายประชานิยมตลอดเวลา
ขณะเดียวกัน ดร.ประภาส มองว่า นโยบายดังกล่าวเป็นเหมือนนิทานประชานิยม ที่สร้างเรื่องใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นการคิดนิทานใหม่ๆ แต่จะเป็นการแก้ปัญหาความยากจนหรือไม่นั้นกลับเป็นเรื่องรอง นิทานจึงเป็นเพียงการทำงานทางการเมืองเพื่อสร้างความนิยมเท่านั้น
ด้าน อ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตัวแทนคณะกรรมาธิการฯ ได้สรุปผลการประชุมและเสนอทางออกในการแก้ไขปัญหาความยากจนแก่ รัฐบาล โดยเห็นว่า รัฐบาลต้องมีความจริงใจมากกว่านี้ โดยไม่ควรมีวาระซ่อนเร้น จำเป็นต้องปรับฐานความคิดการมองปัญหาความยาก จนว่า แท้จริงแล้วมาจากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ภายใต้สังคมที่ไม่เป็นธรรม โดยสรุปประเด็นดังนี้
อ.สมชาย กล่าวว่า "ประการแรก รัฐบาลต้องรับรองสิทธิมนุษยชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทั้ง ดิน น้ำ ป่า อย่างเป็นธรรม เช่น พ.ร.บ.ป่าชุมชน การกระจายการถือครองที่ดิน เป็นต้น"
ประการที่สอง นโยบายรัฐต้องพัฒนากระบวนการตัดสินใจ ในนโยบายใดๆ รวมถึงการก่อสร้างโครงการพัฒนาของรัฐ ที่กระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เช่น โครงการสร้างเขื่อน บ้านเอื้ออาทร โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมองค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เป็นหลักประกันของชาวบ้าน
"สำหรับ ประการที่สาม นโยบายการสร้างสวัสดิการสังคมต้องให้มีความเป็นธรรม ต้องมีมาตรการทางภาษีที่ก้าวหน้าจึงจะทำให้นโยบายมีคุณภาพได้ ส่วนประการที่สี่ ปัญหาคนยากจนที่เกิดขึ้นจากนโยบายรัฐจำเป็นต้องเร่งแก้ไข โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงตั้งคณะกรรมการเพื่อซื้อเวลาเท่านั้น" อ.สมชาย กล่าว
ขณะที่ ข้อเสนอประการสุดท้าย คือ นโยบายและโครงการต่างๆ ของรัฐที่สร้างปัญหาให้กับคนจน รัฐบาลต้องยกเลิกโดยทันที เช่น โครงการหมู่บ้านป่าไม้ โครงการชลประทานระบบท่อ นโยบายการค้าเสรี พ.ร.บ.เศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น