ประชาไท-26 ก.ย. 48 "กอส."จี้รัฐ รุกทางการเมือง พลิกวิกฤติ "ตันหยงลิมอ" ให้เป็นโอกาสในการดับไปไฟใต้ ยืนยันพร้อมช่วยสร้างยุทธศาสตร์กับรัฐบาล โดยเสนอให้มีการจัดประชุมเรื่อง "ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้" โดยให้มีผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ออกแถลงการณ์
นายแพทย์
โดย รองประธาน กอส. กล่าวต่อว่า การใช้สันติวิธีของเจ้าหน้าที่ในครั้งนี้ ทำให้เหตุการณ์ไม่ลุกลาม ซึ่งหากเจ้าหน้าที่จะใช้กำลังเข้าจัดการเลยก็สามารถทำได้ แต่ก็อาจบานปลายจนกลายเป็นตากใบ 2 ได้ ส่วนการใช้ความรุนแรงของฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบนั้น ก็ทำให้กลายเป็นเสียความชอบธรรมในการต่อสู้ไปเอง
เมื่อมีการถามถึงท่าทีของ พ.ต.ท.
"ท่านก็พูดสองอย่าง ใช้ความเข้มแข็ง และก็บอกให้ใช้ความยุติธรรม ใช้กระบวนการทางกฎหมาย ไม่ใช้กระบวนการนอกกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง"
จากนั้น นายแพทย์ประเวศ กล่าวถึงวิธีการรุกทางการเมืองว่าควรจะมีการจัดการประชุมเรื่องยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ซึ่ง กอส.ยินดีที่จะช่วยรัฐบาลในการจัดประชุมโดยทำให้เป็นประเด็นสาธารณะ ทั้งนี้รัฐบาลอาจจะไม่ถนัดในการทำงานกับภาคสังคม กอส.ก็จะช่วยประสานในตรงนี้ให้ โดยเฉพาะในองค์กรของสื่อมวลชน ได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เนื่องจากได้ตกลงร่วมมือกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
"กระบวนการทำเรื่องยากๆ ต้องทำเป็นเรื่องสาธารณะ สื่อมวลชนจะช่วยให้เกิดตรงนี้ ซึ่งจะช่วยให้ฝ่ายต่างๆทำถูกต้องมากขึ้น เป็นวิธีทำงาน ถ้าประชุมลับก็จะพูดกันอีกอย่างจะต้องทำให้มีความสว่าง เพราะจะทำให้คนเห็นแก่ตัวน้อยลง" นายแพทย์ประเวศ กล่าว
ส่วนผลการประชุมกอส. ในวันนี้ ได้มีการออกแถลงการณ์ เรื่องมาตรการลดความแตกแยกระหว่างผู้คนในสังคมไทย 5 ประการ โดยประการแรกจะต้องนำตัวผู้กระทำผิดในทั้งในกรณีสังหาร 2 นาวิกโยธิน และผู้กระทำผิดในการกราดยิงชาวบ้านจนมีผู้เสียชีวิต 2 คนเมื่อวันที่ 20 ก.ย. มาลงโทษให้ได้ เพื่อทำให้ไม่เกิดข่าวลือที่จะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน และจะต้องนำกระบวนการนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เต็มที่ด้วย
ประการต่อมา กอส.เห็นว่าการกระทำของกองทัพและเจ้าหน้าที่ในการจัดการปัญหาที่บ้านตันหยงลิมอเป็นไปด้วยความสันติวิธี ทำให้ฝ่ายที่คิดก่อการร้ายกระทำการไม่สำเร็จ จึงขอสนับสนุนให้ทุกฝ่ายยึดแนวทางสันติวิธีต่อไป
ในส่วนการป้องกันเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำรอย กอส.เสนอให้เร่งรัดการตั้งคณะกรรมการสันติสุขชุมชนเพื่อเป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับประชาชน ตามที่เคยเสนอไว้ในมาตรการระยะสั้นหนึ่งใน 14 ข้อก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. เป็นต้นไปจะเป็นเดือนรอมฎอน ซึ่งในช่วง 10 วันสุดท้าย ชาวมุสลิมจะต้องเก็บตัวอยู่ในมัสยิดตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นภาครัฐควรทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำศาสนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และจะได้ไม่มองว่าการรวมตัวกันที่มัสยิดมีวัตถุประสงค์ไปในทางการก่อการร้าย
ส่วนประการสุดท้ายคือ รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายรุกทางการเมือง และมุ่งสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ดับไฟใต้
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)