Skip to main content
sharethis


ผู้จัดการออนไลน์ 29 กันยายน 2548 12:05 น.รายงานว่า ลาวซุ่มถ่ายทำภาพยนตร์โดยการสนับสนุนขององค์การยูนิเซฟ การถ่ายทำกำลังจะแล้วเสร็จลงในสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นสื่อภาพยนตร์เรื่องแรกในการให้ความรู้แก่ประชาชนในระดับรากหญ้า ในความพยายามต่อต้านการล่อลวงค้าเด็กและสตรีลาวข้ามฝั่งโขงมายังประเทศไทยเพื่อขายบริการทางเพศ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกนำออกแพร่ภาพออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติและออกฉายทั่วไปในเดือน ม.ค.ปีหน้า


      


ภาพยนตร์ "ฮักเพียงนาง" (รักเธอแต่เพียงผู้เดียว) ถูกสร้างขึ้นมาเป็นสื่อกลางให้กับเด็กและสตรีลาวทั่วไป ตระหนักถึงอันตรายอันโหดร้ายของจากภัยแก๊งค้ามนุษย์ โดยสมมติให้นางเอกของเรื่องนี้เป็นหญิงที่ถูกล่อลวงข้ามฝั่งโขงเข้ามาในประเทศไทยและถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศแก่ลูกค้าในกรุงเทพฯ แต่เธอไม่ยอม จนกระทั่งพระเอกจากลาวข้ามโขงมาช่วยเอาไว้ทันเวลา


      


"ถึงแม้ว่าฉันจะต้องตาย ฉันก็จะไม่ยอมเป็นโสเภณี" นี่เป็นส่วนหนึ่งในบทสนทนา ซึ่งนางเอกในภาพยนตร์ตอบโต้ "แมงดา" ชายชาวลาวคนหนึ่ง ที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอยอมหลับนอนกับลูกค้า ในสถานบริการแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของไทย


      


"ยอมเสียดีๆ ฉันพูดกับเธอดีๆ เพราะเรามาจากหมู่บ้านเดียวกัน" ชายชาวลาวที่นำนางเอกของเรื่องข้ามโขงจากลาวไปยังกรุงเทพฯ พยายามเกลี้ยกล่อมเธอเต็มที่ ไม่วายที่จะสำทับว่าไม่อยากให้เธอต้องเจ็บตัว ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ "เวียงจันทน์ไทมส์"


      


นางมะลิวัน บัวลม (Ms Manivanh Boulom) ผู้เขียนบทภาพยนตร์กล่าวว่า "ฮักเพียงนาง" เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวชาวลาวคนหนึ่ง ที่ตกหลุมพรางของขบวนการค้ามนุษย์ ถูกบังคับขู่เข็ญให้มาขายตัวในไทย แต่เหยื่อรายนี้ไม่ยอม ในตอนจบของเรื่อง แฟนหนุ่มของเธอซึ่งเป็นตำรวจลับจากลาวได้ข้ามโขงไปช่วยเธอออกจากขุมนรกในกรุงเทพฯ ได้ทันการณ์ นำเธอกลับบ้านเกิดอันเป็นที่รักยิ่ง


      


ผู้เขียนบทกล่าวว่า เรื่องราวที่แต่งขึ้นนั้นมีแนวเรื่องมาจากเรื่องจริงที่ได้ฟังจากคำบอกเล่าของบรรดาเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ เกี่ยวกับหญิงสาวชาวลาวคนหนึ่งถูกหญิงสาวในหมู่บ้านเดียวกันหลอกไปค้าประเวณีในประเทศไทย


      


 "แต่ในความเป็นจริงหญิงสาวหลายคนเลือกที่จะไปขายตัวเอง เพราะพวกเธอไม่มีทางเลือก ต้องอยู่ในซ่องและกลายเป็นโสเภณีในที่สุด แต่ในภาพยนตร์ นางเอกถูกพาไปไทยและก็ถูกบังคับให้นอนกับแขก แต่สุดท้ายพระเอกก็ช่วยให้เธอรอดพ้นมาได้" นางสาวมะลิวัน กล่าว


      


ภาพยนตร์เรื่องนี้จะช่วยเตือนให้ชาวบ้านโดยเฉพาะเด็กและสตรี ไม่หลงเชื่อคำเชิญชวนง่ายเกินไป ไม่ว่าเป็นใครก็ตาม ต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งยังเป็นการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่ลาว-ไทยให้เข้มแข็งมากขึ้นในการแก้ปัญหานี้


 


ภัยจากขบวนการค้ามนุษย์นับเป็นปัญหาที่ร้ายแรงมากในภูมิภาคนี้ ที่ซึ่งมีประชาชนหลายร้อยคนทั้งจาก ลาว กัมพูชา และพม่า ถูกหลอกไปทำงานในไทยอย่างผิดกฎหมายเพื่อแสวงหารายได้ที่ดีกว่า ปัจจุบันมีชาวลาวที่ลักลอบเข้าทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทยกว่า 180,000 คน



ทางการของสองประเทศได้ร่วมมือกันมาหลายปีแล้ว ในการต่อต้านและปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป ที่ผ่านมาสามารถช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลายร้อยคนให้รอดพ้นมาจากการเป็นโสเภณี และ ได้กลับไปใช้ชีวิตในลาวอย่างปกติสุข


      


ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์ได้ฉายภาพให้เห็นการได้กลับถึงถิ่นฐานบ้านเกิดในประเทศลาวอันเป็นที่รักยิ่งของหญิงสาว ที่ซึ่งพ่อแม่พี่น้องและทุกคนต่างพากันรอคอย และ เธอได้พบว่าท้องฟ้าเหนือท้องทุ่งยังคงสดใสอยู่เช่นเดิม ฝูงควายยังคงเดินผ่านป่าละเมาะกลับสู่หมู่บ้านหลังเวลางานตามปกติ ทุกคนที่หมู่บ้านยังรักและเอ็นดูเธออย่างไม่เสื่อมคลาย


      


ฉากจบพระเอกตำรวจลับได้ขอบอกลาเธอเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญเพื่อชาติ พร้อมกล่าวว่าจะกลับมาขอเข้าวิวาห์กับเธอ.


      


นายโพไซ จันทะวงสา (Phoxay Chanthavongsa) ผู้ช่วย ผอ.ศูนย์ความร่วมฝึกอบรมเพื่อการพัฒนา (Participatory Development Training Centre) ในนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นผู้ขอการสนับสนุนด้านเงินทุนจากยูนิเซฟ เพื่อจัดสร้างกล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกนำออกฉายตามแขวงต่างๆ พื้นที่เป้าหมายที่สำคัญได้แก่ บริเวณริมฝั่งโขง ที่หญิงสาววัยรุ่นมักจะถูกหลอกไปประเทศไทย เพียงหวังว่าจะได้มีรายได้ที่ดีกว่า และได้สัมผัสกับชีวิตที่มีแสงสีในกรุงเทพฯ


      


"จุดประสงค์หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ พยายามที่จะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ประชาชนข้ามชายแดนไปทำงานยังฝั่งไทยอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งเพื่อเตือนสติเด็กๆ ทั้งหลายให้ตระหนักถึงอันตรายที่เกิดขึ้น"


      


ผู้ที่สวมบทบาทนางเอกของเรื่องนี้เป็นนักร้องสาวจากค่ายวาเลนไทน์มิวสิคของลาว คือ สุกสะหวัน บุนมาก "น้องดี" ซึ่งเคยร้องเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ในคอนเสิร์ตที่จัดโดยองค์การยูนิเซฟด้วย


      


สุกสะหวันกล่าวว่า ทันที่ได้อ่านบทก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความสามารถมากกว่าการร้องเพลงธรรมดาเสียอีก และรับงานแสดงนี้ทันที โดยไม่ใส่ใจว่าผู้ชมจะรู้สึกอย่างไร แต่บทบาทของเธอจะเตือนให้หญิงสาวที่มีขีดจำกัดด้านการศึกษาให้เข้าใจ ซึ่งพวกเธออาจตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงไปทำงานในซ่องโสเภณี ทั้งนี้เป็นรายงานของเวียงจันทน์ไทมส์


      


นายโพไซกล่าวว่า "ฮักเพียงนาง" เป็นเรื่องแรกในโครงการที่จะจัดสร้างขึ้นมาทั้งหมด 5 เรื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมปัญหานี้.


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net