อติชาต เกตตะพันธุ์
18 ตุลาคม 2548
..................................................
เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมได้มีโอกาสไปฟังชาวนาและสมาชิกจากสหกรณ์เกษตรอินทรีย์กองทุนข้าวสุรินทร์จำกัด พูดเกี่ยวกับเรื่อง "ชาวนาไทยที่ปลูกข้าวแฟร์เทรด : นำเสนอจากประสบการณ์ตรง" (Fair Trade Rice Farmers From Thailand : Speak about their experiences) ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟลอเนียร์ ณ เมืองซานตาครูซ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ช่วยเปิดมุมมองเรื่องการทำการเกษตรในเมืองไทยเป็นอย่างดี ทั้งในแง่การสนับสนุนของภาครัฐ การผลิตข้าวในประเทศไทย รวมถึงการส่งออก
กิจกรรมในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในการทัวร์สหรัฐอเมริกาของชาวไทยสามคน ซึ่งจัดโดยองค์กรไม่แสวงหากำไรชื่อ ENGAGE (Educational Network for Global and Grassroots Exchange) องค์กรนี้ได้พาชาวไทยเหล่านั้นไปพูดคุยให้คนอเมริกันตื่นตัวและสนับสนุนข้าวแฟร์เทรด โดยเริ่มจากฝั่งตะวันออกไปถึงฝั่งตะวันตกของประเทศในหลายพื้นที่ อาทิ รัฐเมน กรุงวอชิงตันดีซี เมืองชิคาโก เมืองลอสแองเจลิส และเมืองซานฟรานซิสโก นอกจากนี้ก็ยังได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเกษตรกรรายย่อยในประเทศนี้ด้วย ซึ่งนับว่าเป็นการทัวร์ที่เข้มข้นมาก โดยใช้เวลาเวลานานถึง 3 สัปดาห์
ในการพูดคุยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟลอเนียร์ ณ เมืองซานตาครูซ มีผู้ร่วมงานที่เป็นอาจารย์และนักศึกษาที่ทำงานทางด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงผู้สนใจทั่วไปจำนวนมากกว่า 20 คน มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีนักศึกษาไทยในปีการศึกษานี้น้อยมาก แต่ก็มีนักศึกษาไทยมาฟังสองคน คือ ตัวผมเองและนักศึกษาอีกคนหนึ่งซึ่งไม่เคยพบกันมาก่อน
การพูดคุยครั้งนี้คุณ
และรวมตัวกันเพื่อส่งข้าวขายในราคายุติธรรม
"ปลูกทุกอย่างที่เรากิน และกินทุกอย่างที่เราปลูก"
ภาคภูมิ อินทร์แป้น - เกษตรกรรายย่อย จ.สุรินทร์ |
หลังจากคุณกัญญาเปิดประเด็นแล้ว คุณ
ต่อมาคุณภาคภูิมิเปิดประเ็ด็นเรื่องข้าวแฟร์เทรดว่า ได้มีการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อจัดขายข้าวในลักษณะของข้าวแฟร์เทรด โดยเริ่มขายในยุโรปก่อน แต่ต่อมาผลผลิตเยอะขึ้นก็เลยเริ่มหาตลาดเพิ่ม ซึ่งเริ่มมีการขายข้าวแฟร์เทรดในสหรัฐอเมริกาในเดือนที่ผ่านมา ตอนนี้มีเกษตรกรหลายชุมชนในเมืองไทยที่อยากขายข้าวแฟร์เทรดแต่ก็ช่วยไม่ได้มาก เพราะไม่มั่นใจว่าจะหาตลาดให้ได้ นี่ก็เป็นเหตุผลหลักอันหนึ่งในการมาพูด ณ เมืองต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา คุณภาคภูิมิพูดต่อว่าข้าวแฟร์เทรดน่าจะเป็นหนทางช่วยเกษตรกร ที่มีทุนก็น้อย และขาดแคลนเครื่องมือ การค้าระบบแฟร์เทรดนี้จะทำให้เกษตรกรขายข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาทั่วไป โดยได้เงินพรีเมียม (premium) ซึ่งเป็นเงินที่จะใช้ไปส่งเสริมให้มีเกษตรกรลักษณะีนี้เพิ่มขึ้น ส่งเสริมชาวบ้านรวมกลุ่มขายของกันเอง เมื่อก่อนได้ส่งข้าวให้พ่อค้าที่โรงสี ก็มีปัญหาทั้งตาชั่งและราคา พ่อค้าบอกน้ำหนักเท่าใดก็ต้องตกลงตามนั้น และยังบอกว่าข้าวไม่ถึงมาตรฐานบ้างจากนั้นก็รับซื้อข้าวในราคาที่ถูกกว่าราคาที่ประกาศรับซื้อ ปกติเกษตรกรก็มักจะไม่ทราบว่าที่เถ้าแก่โรงสีพูดนั้นจริงหรือไม่ ก็มักจบลงด้วยการขายข้าวตามราคาที่ได้รับการเสนอมา แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ พวกเถ้าแก่โรงสีนี้ก็รวยขึ้นๆ และขยายกิจการใหญ่โต สำหรับระบบแฟร์เทรดนี้ชาวนาได้ตั้งโรงสีกันเอง โดยชั่งข้าวเอง สีข้าวเอง และส่งขายด้วยกัน ในช่วงท้ายของการพูดคุณภาคภูิมิก็โยนลูกให้กับผู้พูดคนต่อไป
คนสุดท้ายนี้ไม่ได้เป็นชาวนาแต่ก็เป็นสมาชิกของเครือข่ายเกษตรกรทางเลือกภาคอีสาน (ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่สุรินทร์ด้วย) คุณอารัติ แสงอุบล ชี้แจงว่ากลุ่มที่ตนสังกัดมีเป้าหมายเพื่อสร้างเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เพื่อให้เกิดกลุ่มเหล่านี้ทั่วประเทศไทย ตอนนี้มีสมาชิกทั่วทั้ง ๔ ภาค ใน ๑๙ จังหวัด จากนั้นได้ย้ำว่าเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทยนั้นก็มีปัญหาคล้ายกับเกษตรกรทั้งสองคนที่เพิ่งพูดเสร็จ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเกษตรกรที่ปลูกพืชที่ตนไม่ได้กินได้ใช้ อาจกล่าวได้ว่าคนที่เริ่มเข้ามาสู่เกษตรยั่งยืนและทำการค้ากันเองนั้นยังมีน้อยมากเมื่อเทียบกับเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศ คุณอารัิติมองว่า นโยบายการพัฒนาเกษตรของชาตินั้นไม่เห็นว่าคนข้างล่างสามารถพัฒนาตนเองได้ แต่ให้ความสำคัญกับพวกบริษัท ในเรื่องปุ๋ย ยา ปัจจัยการผลิต และการเปลี่ยนแปลงเมล็ดพันธุ์ ได้ถูกประชาสัมพันธ์จากบริษัทที่ได้กำไรโดยตรงจากกิจการเหล่านั้น รวมทั้งเรื่ืองการค้าเสรีนั้นก็ไม่ได้เกิดประโยชน์กับคนจนแต่เกิดกับบริษัทขนาดใหญ่
คุณอารัติได้พูดเรื่องข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสหรัฐอย่างน่าสนใจว่า ยังมีการตกลงกันไม่เรียบร้อยและการเจรจานี้จะไม่ก่อประโยชน์แก่เกษตรกรรายย่อย สินค้าเกษตรของสหรัฐแม้ต้นทุนสูงมาก แต่สามารถส่งออกในราคาที่ถูกมากเพราะได้รับการอุิดหนุน (subsidize) จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จากการไปเยี่ยมเกษตรกรรายย่อยที่รัฐอิลินอยส์ เกษตรกรที่นั่นก็ย้ำว่าเขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทุกปี อย่างข้าวโพดนี้เขาส่งมาขายกิโลกรัมละ ๔ บาท ในขณะที่เมืองไทยขายกิโลกรัมละ ๗ บาท มองโดยรวมแล้วล่าสุดรัฐบาลสหรัฐอุดหนุนภาคการเกษตรมากถึง ๑๘๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ ๗.๒ ล้านล้านบาท) ต่อปี
หากพวกเราพิจารณาถึงพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ก็ถือได้ว่าการทำเกษตรอินทรีย์ และเกษตรแฟร์เทรดนี้ มีความสอดคล้องกันเป็นอย่างยิ่ง โดยเ้น้นการปลูกเพื่อใช้อยู่กินในครัวเรือน ที่เหลือก็ส่งขาย และนี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั้นส่งผลดีกับสังคมโดยรวมหลายด้าน การไม่ใช้สารเคมีนั้นมีผลดีกับสุขภาพของผู้ผลิตและผู้บริโภคโดยตรง และยังมีผลดีต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ชาวนาไทยแฟร์เทรดยังได้ขายสินค้าคุณภาพในต่างประเทศในราคาที่สูงกว่า้ท้องตลาดซึ่งเป็นเพิ่มมูลค่าการส่งออกแก่ประเทศไปพร้อมกัน
อันที่จริงเรื่องแฟร์เทรดนั้นไม่ได้ทำกับ "ข้าว" เท่านั้น แต่ได้ทำกับกาแฟ ชา โกโก้ ช็อคโกแลต น้ำตาล และกล้วย อีกด้วย ซึ่งได้ช่วยเหลือเกษตรกรในหลายทวีปทั่วโลก ในสหรัฐอเมริกานั้นประสบความสำเร็จอย่างสูงในการขายกาแฟแฟร์เทรดจนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ส่วนเรื่องแฟร์เทรดในเอเชียนั้นยังเป็นที่รู้จักน้อยมากจึงยากที่จะทำตลาดทางด้านนี้ในขณะนี้
การมาเยือนของชาวไทยทั้งสามคนนี้สรุปแล้วก็มาเพื่อสร้างตลาดข้าวไทยแฟร์เทรด และต้องการสร้างเครือข่ายระดับนานาชาติ ทั้งกับเกษตรกรรายย่อย และกลุ่มองค์กรต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างความตื่นตัวให้กับคนในสหรัฐฯ ได้ไม่น้อย ดังเช่น ในการคุยที่เมืองซานตาครูซก็มีผู้ถามว่าจะซื้อข้าวแฟร์เทรดได้ที่ไหน รวมถึงการพูดคุยกันของกลุ่มคนไทยในสหรัฐที่อยากสนับสนุนการขายข้าวไทยแฟร์เทรด เรื่องข้าวแฟร์เทรดนี้ถ้าได้รับการสนับสนุนจากคนไทยในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ทั้งในแ่ง่การซื้อมาบริโภคและการประชาสัมพันธ์ก็น่าจะช่วยให้เกษตรกรรายย่อยในไทยได้ฟื้นตัวได้มากยิ่งขึ้น
เว็บไซต์ที่น่าสนใจ
ตีพิมพ์ครั้งแรก ณ เว็บไซต์สยามเสวนา