ประชาไท8 พ.ย. 48 เช้ามืดเมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ครูจากหลายจังหวัดนัดชุมนุมประท้วงบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อคัดค้านการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยบ่ายวันเดียวกัน ครม.สรุปยืนยันให้ อปท.ดูแลโรงเรียนให้เรียบร้อยภายใน 2 ปี หากครูคนใดไม่พอใจสามารถย้ายโรงเรียนได้
ทั้งนี้ การกระจายอำนาจการศึกษาให้แก่ อปท.ดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ในมาตรา 43 ซึ่งนอกจากจะระบุให้บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า12 ปีโดยรัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายแล้ว ยังระบุให้การจัดการศึกษาอบรมของรัฐต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองท้องถิ่นและเอกชนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม วันนี้คณะรัฐมนตรีได้นำเรื่องการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าที่ประชุม โดย ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามที่นาย
พ.ต.ท.
โดยนายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในข้อกฎหมายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพราะเป็นแผนการกระจายอำนาจทางการศึกษา ซึ่งสามารถปรับได้ ช่วงแรกให้เป็นเรื่องความสมัครใจไปก่อน ถ้ามีความสมัครใจ รัฐบาลพร้อมโอนงบประมาณให้ท้องถิ่นนั้น ๆ จากนั้นท้องถิ่นก็จะหางบประมาณมาสมทบ เพื่อใช้ในการบริหารโรงเรียนให้ดีขึ้น ซึ่งเวลานี้หลายเทศบาลก็มีความพร้อม
ทั้งนี้ มติของที่ประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ครั้งที่ 9/2548 เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2548 ได้พิจารณาเรื่องการถ่ายโอนภารกิจด้านการศึกษา (เฉพาะสถานศึกษาที่ถ่ายโอน) ให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้
1. ให้มีองค์กรกำหนดนโยบาย แผน มาตรฐาน และสนับสนุนงบประมาณในที่เดียวกัน และโดยที่เรื่องนี้เป็นบทบาทของกระทรวงศึกษาธิการ จึงให้กระทรวงศึกษาธิการรับผิดชอบในการจัดสรรให้แก่ อปท. และให้คำนวณเข้าไว้ในส่วนของงบประมาณร้อยละ 35 ตามกฎหมาย
2. ให้มีคณะกรรมการการศึกษาท้องถิ่นระดับจังหวัด โดยพิจารณารูปแบบองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ที่เหมาะสมต่อไปอีกครั้งหนึ่ง
3. โรงเรียนใดที่มีความสามารถและมีศักยภาพ ควรให้อำนาจและอิสระในการบริหารโดยเฉพาะทางวิชาการ และควรมีฐานะเป็นนิติบุคคลเช่นเดียวกับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่งอาจต้องแก้ไขกฎหมายในอนาคต
4. ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ให้งบประมาณหมวดเงินเดือนและค่าใช้จ่ายด้านวิชาการอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ โดยผ่านระบบ GFMIS ส่วนงบประมาณอื่นๆอยู่ในความรับผิดชอบของ อปท.
5. การจัดการศึกษาของ อปท. ควรรับผิดชอบทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาตลอดชีวิตซึ่งคาดว่าน่าจะมีความพร้อมตั้งแต่ พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป
6. การถ่ายโอนบุคลากรด้านการศึกษาให้อยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจของบุคลากร ดังนี้
(1) กรณีบุคลากรสมัครใจ ให้ตัดโอนทั้งอัตราและตัวบุคคลไปสังกัด อปท.
(2) กรณีบุคลากรไม่ประสงค์โอนไป อปท. ให้สามารถช่วยราชการในสถานศึกษานั้นต่อไปได้
แต่ไม่เกิน 2 ปีการศึกษา เมื่อไม่ประสงค์จะโอนไปก็ให้กลับไปสังกัดกระทรวงศึกษาธิการได้ในกรณีมีอัตราที่ขาดอันเนื่องมาจากการถ่ายโอน รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณหรืออัตราเพื่อบรรจุทดแทนให้แก่ อปท.หรือกระทรวงศึกษาธิการแล้วแต่กรณี
7. ปีการศึกษา 2549 ให้แบ่งระดับสถานศึกษาที่จะถ่ายโอน ดังนี้
(1) องค์การบริหารส่วนจังหวัด รับโอนได้ไม่เกิน 3 โรง โดยแบ่งออกเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ไม่เกิน1 โรง และอีก 2 โรง อาจเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประถมศึกษาหรือโรงเรียนขยายโอกาส (2) เมืองพัทยา และเทศบาลที่เคยจัดการศึกษา รับโอนได้ไม่เกิน 2 โรง ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประถมศึกษาหรือโรงเรียนขยายโอกาส (3) เทศบาลตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล ที่ไม่เคยจัดการศึกษารับโอนได้ไม่เกิน1 โรง ในระดับประถมศึกษา
(4) กรุงเทพมหานคร ให้กระทรวงศึกษาธิการและกกถ.ร่วมกันพิจารณาจำนวนสถานศึกษาที่จะรับ
ถ่ายโอน โดยให้คำนึงถึงคำนิยามสถานศึกษาพิเศษที่ได้กำหนดไว้แล้วด้วยกรณีที่สถานศึกษาใดมีความพร้อมและสมัครใจโอนไปอยู่ อปท.และ อปท.ยินดีรับโอนสถานศึกษาดังกล่าว
นอกเหนือจากจำนวนดังกล่าวข้างต้น ให้สถานศึกษา และ อปท.ทำความตกลงเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันและเสนอให้ กกถ.พิจารณาเป็นราย ๆ ไป
8. สถานศึกษาลักษณะพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เป็นสถานศึกษาตัวอย่างหรือต้นแบบที่จัดการศึกษาระดับภาค ระดับจังหวัด หรือระดับเขตพื้นที่การศึกษา เช่น โรงเรียนในฝัน ซึ่งเป็นนโยบายเฉพาะของรัฐบาลให้เป็นไปตามคำนิยามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ทั้งนี้ให้เป็นไปตามความตกลงเป็นกรณีๆไป
สำหรับสถานศึกษาที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ(สมศ.)ที่ยังขาดความพร้อมด้านบุคลากร หรือขาดระบบบริหารซึ่งต้องพัฒนามาตรฐานและความพร้อม เห็นสมควรถ่ายโอนให้ อปท.รับไปดำเนินการ โดยกำหนดเงื่อนไขว่า อปท.ที่รับโอนต้องมีแผนการพัฒนาสถานศึกษาที่ชัดเจน และมีการติดตามประเมินผลเพื่อให้อยู่ในเกณฑ์ มาตรฐานของ สมศ.ต่อไป
9.ให้มีคณะกรรมการและระบบติดตามและประเมินผลการโอนสถานศึกษาตามแนวทางนี้ และเสนอ กกถ.ต่อไป หากปรากฏว่าการจัดการศึกษามีปัญหาหรือด้อยคุณภาพลง อาจมีการทบทวนการโอนได้เป็นราย ๆ ไป
ด้านแกนนำครูผู้ชุมนุมกล่าวว่า การถ่ายโอนการศึกษาให้ หากมีการกระจายอำนาจการศึกษาไปอยู่ อปท.จะเกิดความไม่เสมอภาคทางการศึกษาขึ้น ส่งผลกระทบต่อเด็ก สถานศึกษาจะมีมาตรฐาน 7,000 มาตรฐาน ตาม อปท.ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และจะไม่สามารถควบคุมมาตรฐานได้ เด็กจะเสียประโยชน์ ขณะที่เด็กที่ได้ประโยชน์ก็จะเป็นเด็กกลุ่มน้อยที่อยู่ในเมือง ซึ่งมีอุปกรณ์การเรียนการศึกษาที่ดีพร้อม โดย อปท.ก็จะเข้าไปทำหน้าที่หนุนเท่านั้น แต่ก็จะได้หน้าไป ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า อบต.ส่วนใหญ่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่สามารถดูแลสถานศึกษาได้ และตามกฎหมายรัฐระบุว่าจะโอนงบประมาณพัฒนาการศึกษาส่วนหนึ่งให้กับ อปท.35%แต่ขณะนี้รัฐบาลก็ยังทำไม่ได้ กระจายให้ได้เพียง 24% ซึ่งยังขาดอีก 11%
ด้าน นาย
นอกจากนี้ยังให้มีการเตรียมรายชื่อของครู ผู้ปกครองและประชาชน ภายในวันที่ 9-14 พ.ย.2548 เพื่อนำทูลเกล้าฯถวายฏีกาคัดค้านการถ่ายโอนสถานศึกษาแก่ อปท. ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งหากมีเหตุอันจงใจของรัฐบาลที่จะทำให้เกิดการถ่ายโอนการศึกษาจะนัดชุมนุมใหม่ที่กรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยกว่า 1 แสนคน โดยจะทำการหยุดสอนจนกว่าจะประสบความสำเร็จในการคัดค้าน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)