"ถ้าเลือกได้ เราก็อยากเดินในป่า เดินในเมืองมันร้อน แล้วก็มีแต่ควันพิษ" ปินี มูแก้ว หนึ่งในผู้หญิงร่วมขบวนธรรมชาติยาตราที่ตัดสินใจออกจากบ้านมาเข้าร่วมขบวนธรรมชาติยาตราเพื่อป่าชุมชนของคนทั้งประเทศ
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของปินีที่ออกจากบ้านมาสื่อสารกับคนในเมืองถึงวิถีชีวิตคนบ้านป่า ในห้วงเวลา 10 กว่าปีมานี้เธอเคยเดินทางไกลไปถึงกรุงเทพฯมาแล้วหลายต่อหลายครั้งเพื่อร่วมชุมนุมกับเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรภาคเหนือ (คกน.) เครือข่ายป่าชุมชน สมัชชาคนจนเพื่อร่วมเรียกร้องกฎหมายป่าชุมชน และการแก้ไขปัญหาของคนที่อยู่กับป่าแต่ถูกละเมิดสิทธิจากภาครัฐ แม้ว่าเธอจะไม่ชอบการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองก็ตามที หากนับรวมระยะทางที่เธอเดินทางไกลก็ร่วมพัน ร่วมหมื่นกิโลเมตรแล้ว
แต่การเดินทางบนทางสายนี้ไม่เคยสิ้นสุด เธอเข้าใจสัจธรรมข้อนี้ดี การเดินทางของเธอจึงเริ่มต้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจุดหมายปลายทางจะเป็นเช่นไร เธอก็เลือกที่จะเดินทาง โดยมีความหวังเล็ก ๆ ว่าจะเห็นอะไรดีขึ้นบ้าง
เธอบอกถึงเจตจำนงค์ในครั้งนี้ว่า เพื่อภาวนาให้กฎหมายป่าชุมชนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่ให้บิดเบือนไปจากกฎหมายที่ประชาชนเคยยื่นเสนอต่อรัฐสภา และระหว่างทางจะได้ทำความเข้าใจกับผู้คนสองข้างทางเกี่ยวกับป่าชุมชนไปพร้อม ๆ กันด้วย
ธรรมะ และธรรมชาติ
ขบวนเดินเพื่อป่าชุมชนคนทั้งประเทศออกเดินทางจากต้นน้ำปิง อ.เชียงดาว โดยใช้ชื่อขบวนครั้งนี้ว่า "ธรรมชาติยาตราเพื่อป่าชุมชนคนทั้งประเทศ" เริ่มเดินเท้าตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับประชาชนเมื่อปี 2544 ด้วยเสียงโหวตท่วมท้นถึง 341 เสียง
ผู้สมัครใจร่วมเดินธรรมชาติยาตรา คือผู้ที่เคยเข้าชื่อเสนอกฎหมายป่าชุมชน เป็นผู้ที่ดูแลจัดการป่าชุมชนอยู่ตามสายน้ำต่าง ๆ หรือบางคนไม่เคยร่วมลงชื่อเสนอกฎหมายป่าชุมชน แต่ต้องการร่วมขบวนเพราะต้องการสนับสนุนป่าชุมชนก็มาร่วมเดินด้วย
สำหรับคนในเมืองที่เห็นขบวนธรรมชาติยาตราผ่านหน้าบ้านตัวเอง อาจจะคิดอย่างที่ปินีบอกว่า "มาเดินทำไมร้อน ๆ อย่างนี้" หากไม่ใช่เพราะต้องการสื่อสารกับคนในเมือง คงไม่ต้องมาเดินกรำแดดที่ร้อนแสนร้อน สารที่พวกเขาต้องการสื่อถึงคนในเมืองไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเพียงกลุ่มเดียว หากแต่เป็นเรื่องของทุกคน ของคนทั้งประเทศ
"เราอยากบอกว่าธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่ แต่ทุกวันนี้เราทำลายธรรมชาติกันมามากพอแล้ว จะเห็นได้จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น 1-2 ปีมานี้ มันรุนแรงผิดปกติตั้งแต่สึนามิจนถึงน้ำท่วม เพราะเราทำผิดต่อธรรมชาติ" ปินีบอกถึงเรื่องราวที่ต้องการสื่อสาร เธอบอกว่าแม้ว่าคนในเมืองยังคงไม่รับรู้ เธอก็คงทำหน้าที่ต่อไป เพราะหากเธอกลับไปอยู่ที่บ้าน สักวันหนึ่งภัยพิบัติก็ต้องมาถึงบ้านเธออยู่ดี
ปินีเป็นคนปกากะญอที่บ้านห้วยหอย กิ่ง อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ เหตุที่เห็นความสำคัญของการเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า เพราะเธอเห็นว่าจริง ๆ แล้ววิถีชีวิตของชาวบ้านก็ดูแลรักษาป่าอยู่แล้ว แต่กฎหมายป่าไม้ที่มีอยู่ไม่เอื้ออำนวยให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า "กฎหมายป่าไม้ให้ชาวบ้านรักษาอย่างเดียว แต่ไม่ต้องกิน แต่ของชาวบ้านนั้นรักษาป่าด้วย และต้องกินด้วย"
เธอยังบอกอีกว่าความจริงเรื่องการดูแลรักษาป่านั้นต้องเป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ตอนนี้ในเมืองใหญ่แทบไม่มีป่าหลงเหลืออยู่แล้ว เพราะการจัดการป่าที่ผ่านมาเป็นการจัดการป่าแบบนายทุน ทำลายไปเพื่อความละโมบ มันไม่สิ้นสุด เธอจึงอยากเชิญชวนให้คนในเมืองร่วมรักษาป่าแบบชาวบ้าน รักษาป่าด้วย พึ่งพาด้วย ซึ่งรักษาแบบนี้ป่าก็อยู่ คนก็อยู่ มีความยั่งยืนชั่วลูกชั่วหลาน
เธอ สะท้อนวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่มีการจัดการแบบนายทุน เช่นกรณีทะเลทางใต้ ถ้าเปรียบเทียบชาวบ้านมุสลิมที่จับกุ้ง หอย ปูปลา ในทะเลกับเรือใหญ่ของพ่อค้า (เรืออวนลาก) จะเห็นว่าแตกต่างกันมาก เรือใหญ่ของพ่อค้าจะเข้ามาลากเอากุ้งหอยปูปลาตัวเล็ก ๆ ไปหมดสิ้น ขณะที่จับปลาแบบชาวบ้านจะเลือกจับ กุ้ง หอย ปู ปลาตัวเล็ก และปลาที่มีไข่ก็จะปล่อยคืนสู่ทะเล เพื่อให้เติบโตและสืบพันธุ์ต่อไป
สิ่งที่ปินีพยายามสื่อสารนั้นสะท้อนให้เห็นความคิดที่แตกต่างในเรื่องการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องป่า เรื่องทะเลไม่ต่างกัน นับวันจะมีช่องว่างมากขึ้นทุกที คำถามอยู่ที่ว่าสังคมอยากจะเลือกเดินในทางไหน จะจัดการทรัพยากรธรรมชาติแบบไหน แบบพออยู่พอกิน หรือว่าละโมบโลภมาก ตักตวงจากธรรมชาติไม่รู้จักพอ และให้ใครเป็นผู้จัดการ ?
ขยายแนวร่วมรักษาป่า
จนถึงวันนี้ร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชนเข้าสู่การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการร่วม (กมธ.) 2 สภาแล้ว แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชนที่ถือว่าเป็นกฎหมายที่ก้าวหน้าที่สุดในบรรดากฎหมายที่มีอยู่ นักวิชาการหลายท่านเองก็เคยกล่าวถึงหลายครั้งว่ากฎหมายป่าชุมชนเป็นกฎหมายส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจให้คนดูแลรักษาป่า ต่างจากกฎหมายป่าไม้ที่มีอยู่ที่ "กีดกัน" คนให้เข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาป่า แต่กฎหมายฉบับดังกล่าวกำลังถูกบิดเบือนไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพราะเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548 กมธ.ร่วมพิจารณาร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชน มีการเพิ่มเติม "เขตพื้นที่อนุรักษ์พิเศษ" ซึ่งไม่อนุญาตให้มีการจัดตั้งป่าชุมชนในเขตอนุรักษ์พิเศษได้
เครือข่ายป่าชุมชนทั่วประเทศมีความเห็นว่าการเพิ่มเติมเขตพื้นที่อนุรักษ์พิเศษเช่นนี้ถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และผิดต่อเจตนารมณ์เดิมของกฎหมายป่าชุมชนที่ประชาชนเคยยื่นเสนอต่อรัฐสภา นั่นเท่ากับว่าทำให้กฎหมายป่าชุมชนไม่ต่างอะไรจากกฎหมายป่าไม้ที่ผ่าน ๆ มา คือกีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการป่า ซึ่งยังมีคำถามไม่รู้จบว่าแล้วจะให้ใครจัดการ จัดการอย่างไร ? มีตัวอย่างบ้างหรือไม่ว่าถ้าจัดการโดยให้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้จัดการเพียงฝ่ายเดียว เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแล้วประสบความสำเร็จ ?
.................................................
ปินีบอกว่า ขบวนธรรมชาติยาตราจะเดินรณรงค์กับคนในเมืองไปจนถึงเดือนธันวาคม อันเป็นวันที่ร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชนจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างทางก็จะพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับป่าชุมชนกับผู้คนสองข้างทางไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก อาศัยพักแรมตามวัด ตามชุมชน หรือแม้แต่ข้างทางหลวง ช่วงที่ผ่านชุมชนก็จะเข้าไปพูดคุยกับคนในชุมชน ช่วงที่ผ่านเมืองก็จะเข้าไปรณรงค์ในเมือง เมื่อผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละแห่งก็จะเข้าไปเคารพสักการะ ภาวนาให้กฎหมายป่าชุมชนเป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ และยังหวังว่าจะมีการขยายการดูแลรักษาป่าไปอย่างกว้างขวาง ไม่เว้นแม้แต่การดูแลรักษาป่าในเมือง
วันที่เธอลงมาจากดอยเพื่อมาร่วมสมทบกับขบวนธรรมชาติยาตราที่มาจาก อ.เชียงดาว เธอและชาวบ้านที่เดินทางมาร่วมสมทบจากหลายพื้นที่ก็ได้ไปสักการะครูบาศรีวิชัย ที่ดอยสุเทพ อันเป็นที่เคารพนับถือของชาวปกากะญอด้วย
เธอยังบอกอีกว่าชาวบ้านหลายคนมีความตั้งใจอย่างมากที่จะทำให้การเดินเท้าภาวนาครั้งนี้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น บางคนก็ยอมสละเวลาจากการที่ต้องเกี่ยวข้าวในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แม้เพียงวันสองวันก็ยังดี เพราะถือว่าได้ทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง เพราะการเดินครั้งนี้ไม่ใช่การเดินเพื่อเรียกร้องให้กับตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่การเดินเพื่อเป้าหมาย ให้ได้กฎหมายป่าชุมชนแต่เพียงประการเดียว หากแต่หมายถึงการเดินเพื่อเจริญสติ ภาวนาให้แก่ป่าที่ยังคงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของประเทศ ได้คงอยู่ต่อไป และมีเพื่อนร่วมทาง มีคนที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมดูแลรักษาเพิ่มขึ้นด้วย
เดินเพื่อสังคม เดินเพื่อคนทั้งประเทศ
วันแรกที่ขบวนธรรมชาติยาตราเริ่มต้นขึ้น สุลักษณ์ ศิวรักษ์ก็มาร่วมเดินเท้าให้กำลังใจแก่ชาวบ้านทั้ง 49 คนที่มาเดินเป็นกลุ่มแรกด้วย สุลักษณ์บอกว่ากิจกรรมที่ชาวบ้านทำในครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ตามแนวทางของพุทธศาสนา คือกลุ่มผู้เดินเท้าถือว่าใช้หลักอิทธิบาท 4 คือมี ฉันทะ รักในสิ่งที่ถูกต้อง มี วิริยะ คือความเพียร ความตั้งใจอันแก่กล้า มีจิตตะ คือรักและเพียรที่จะทำ และมี วิมังสา คือทำให้ความถูกต้องดีงามได้ชัยชนะในที่สุด
เมื่อขบวนเดินเท้ามาถึงตัวเมืองเชียงใหม่วันที่ 9 พ.ย. กลุ่มนักวิชาการ นักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ร่วมให้กำลังใจแก่ขบวนธรรมยาตราอย่างอบอุ่นที่วัดศรีโสดา จ.เชียงใหม่ และอาจารย์บางส่วนก็ร่วมเดินเท้ากับขบวนในบางช่วงด้วย
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ นักวิชาการจากภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวกับกลุ่มธรรมชาติยาตราว่า สิ่งที่ขบวนธรรมชาติยาตราทำ คือการต่อสู้เพื่อสมบัติส่วนร่วม ซึ่งมีค่ามหาศาล เพราะเป็นฐานชีวิตของคนจน และถือเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของคนทั้งสังคมด้วย ชนชั้นกลางต้องรับรู้ตรงนี้ว่าชาวบ้านรักษาป่าชุมชนเพื่อคนทั้งประเทศ
การที่ กมธ.ร่วม สองสภาเห็นด้วยกับเขตพื้นที่พิเศษในกฎหมายป่าชุมชนนั้น แสดงถึงความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพต่างกันมาก ขณะที่คนระดับรัฐมนตรีเข้าใจว่าป่าที่มีความหลากหลาย อยู่เฉยๆ ก็มีความหลากหลายต่อธรรมชาติได้ แต่ความจริงความหลากหลายทางชีวภาพนั้นเกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาของมนุษย์ ความหลากหลายเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติต่างหาก
"ป่าชุมชนคือการดูแลทรัพยากรธรรมชาติโดยภาคีที่หลากหลาย ทำอย่างไรเราจะสื่อสารแก่คนที่กว้างขวางมากขึ้น สาระสำคัญคือการสื่อสารให้พี่น้องในสังคมรับรู้ถึงคุณค่าของคนเล็กๆ ที่ดูแลรักษาป่า เมื่อชาวบ้านจุดไฟขึ้นมาแล้ว ทุกส่วนต้องช่วยกันส่งไฟต่อๆ ไป ไม่ใช่เพื่อเรา แต่เพื่อสังคมไทยทั้งสังคม" อรรถจักร์กล่าวย้ำถึงบทบาทของคนในสังคมที่จะทำเพื่อป่าที่เหลืออยู่
อานันท์ กาญจนพันธุ์ นักวิชาการคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กล่าวว่าการเดิน
ถือเป็นสัญลักษณ์ที่ดี ที่จะทำให้คนในสังคมมาร่วมกันสร้างเสริมให้อำนาจประชาธิปไตยมาอยู่ที่ประชาชนมากขึ้น พ.ร.บ.ป่าชุมชนคือพ.ร.บ.ที่สะท้อนว่าสังคมมีประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และยังเป็นการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนในชนบทอีกด้วย ไม่ใช่มาจากคนในกรุงเทพฯ
กฎหมายป่าชุมชนเป็นกฎหมายแรกที่ประชาชนเป็นคนเสนอ เป็นการสร้างวิธีการจัดการธรรมชาติแบบใหม่ แต่เดิมเรื่องธรรมชาติของเรานั้นปล่อยให้รัฐและข้าราชการจัดการมานาน จนเราแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว การที่จะผลักดันให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในการจัดการจะเป็นวิธีการใหม่ อะไรที่ใหม่มักจะยากเสมอ เพราะว่ารัฐของเราพยายามรักษาอำนาจเก่าๆ ของตัวเองไว้ และประชาธิปไตยของเราค่อนข้างอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม อานันท์ก็เห็นว่าการเดินครั้งนี้ของชาวบ้านจะทำให้ชนชั้นกลางเข้าใจมากขึ้น และอาจจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ในท้ายที่สุด
สมชาย ศิลปปรีชากุล มีความเห็นต่อขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องป่าชุมชนว่าปัญหาใหญ่คือเผชิญกับความไม่รู้ของสังคมไทย แม้ว่าป่าชุมชนถูกผลักดันมาตั้งแต่ปี 2532 แต่ความไม่รู้ในสังคมยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่รู้ในหมู่ของตัวแทนของประชาชน ผู้แทน เช่น สส. สว.มักไม่สังกัดอยู่ในสถานะเดียวกับประชาชน การเดินเท้าถือเป็นเครื่องมืออันหนึ่งที่จะทำให้คนรักษาป่าสื่อสารกับสังคมมากขึ้น
นอกจากนี้ สมชายยังเห็นว่านโยบายของรัฐบาลก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้พ.ร.บ.ป่าชุมชนถูกแปรเปลี่ยนเจตนารมณ์ เพราะทิศทางของรัฐบาลคือเปลี่ยนเกษตรกรเป็นพ่อค้า แปลงสินทรัพย์เป็นทุน ขณะที่ พ.ร.บ.ป่าชุมชนนั้นเป็นเรื่องของวิถีชีวิตนกับกับป่า ไม่ได้มุ่งเน้นความร่ำรวยเป็นหลัก เรื่องป่าชุมชนถือเป็นทางรอดของสังคม ซึ่งต้องอาศัยพลังผลักดันจากหลาย ๆ ส่วน ทั้งองค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ และเผยแพร่สู่สังคมให้มากขึ้น ก็ขอเป็นกำลังใจให้ขบวนการธรรมชาติยาตราครั้งนี้เดินไปถึงจุดหมาย และทำให้ประเด็นป่าชุมชนกลับมาเป็นญัตติสาธารณะได้อีกครั้งหนึ่ง
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี นักวิชาการจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่าตนเองมาให้กำลังใจชาวบ้าน เพราะชาวบ้านสู้กันมาเป็นทศวรรษ แต่การต่อสู้นั้นยาวนาน การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว ก็หวังว่าเสียงของการเดินครั้งนี้จะไปถึงผู้มีอำนาจ และมีผลกับสภาผู้แทนราษฎรที่จะยกเอาร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับเดิมที่เคยผ่านสภาผู้แทนราษฎรกลับเข้ามาพิจารณาอีกครั้ง
นี่เป็นเพียงแรงใจเล็ก ๆ ของคณาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากนี้ขบวนธรรมชาติยาตรายังคงเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ ไปยังลำพูน ลำปาง ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์
. จนถึงกรุงเทพฯ ระหว่างทางพวกเขาก็จะพูดคุยกับผู้คนสองข้างทาง เพื่อขยายเพื่อน ขยายมิตรโดยใช้หลักธรรมะเป็นตัวนำทาง
เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)