เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 พฤศจิกายน 2548 ที่โรงแรม ซี.เอส.จังหวัดปัตตานี อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี มีการจัดงานมหกรรมสันติวิธี โดยคณะอนุกรรมการการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ ร่วมกับ 52 องค์กรด้านสันติวิธี ระหว่างวันที่ 14 - 16 พฤศจิกายน 2548 มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน โดยมีนาย
นาย
พระมหาชรัตน์ วุฒิชุจาโร รองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ท่ามกลางความขัดแย้งการสร้างสันติวิธีไม่ใช่เรื่องง่าย สันติวิธีเกิดขึ้นได้จากความนิ่ง ความสงบ ความอดทน เรามีอิทธิพลทางศาสนาหลายเรื่อง เช่น ศาสนาพุทธสอนให้รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อย่าเป็นคนประเภทปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ซึ่งถ้าไม่มีความสงบจากจิตใจของเรา ความสงบความสันติก็จะไม่เกิดขึ้น เราต้องกลับมาคิดว่า ตอนนี้เรากำลังคิดอะไรอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ มันเกิดจากทิฐิทั้งนั้น อยากใหญ่โต อยากมีอำนาจ อยากเอาชนะ เราต้องมองให้เห็นว่าคนอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนเรา หวังว่ามหกรรมสันติวิธีจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราทุกคนมีจิตใจที่เมตตา
พระไพศาล วิสาโล กรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ กล่าวว่า สันติภาพที่เกิดขึ้นในโลกไม่มีวิธีใดเท่ากับสันติวิธี มีคนจำนวนมากที่เข้าใจคำว่าสันติวิธีผิด เข้าใจกันว่าสันติ คือ ความนิ่งเฉย ยอมจำนน ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะว่าการที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นมันก็เหมือนกับเกิดไฟไหม้บ้าน การนิ่งเฉยหรือสาดน้ำมันเข้าไปในกองไฟย่อมไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง สิ่งที่ควรทำคือ การสาดน้ำเข้าไป ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะดับไฟได้
"สันติวิธีไม่ใช่การนิ่งเฉยปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน แท้ที่จริงสันติวิธีคือทางสายกลางที่อยู่ระหว่างการนิ่งเฉยกับการใช้ความรุนแรงตอบโต้ เพราะการใช้ความรุนแรงตอบโต้จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประวัติศาสตร์การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ยิ่งใช้กำลังเข้าปราบปรามคอมมิวนิสต์ก็ยิ่งเพิ่ม เพราะมีผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับเคราะห์จากความรุนแรง ได้เข้าไปร่วมจับอาวุธต่อสู้กับรัฐเป็นจำนวนมากด้วยความคับแค้นใจ"พระไพศาล กล่าว
พระไพศาล กล่าวว่า สันติวิธีไม่ได้หมายความเพียงแค่การไม่ใช้อาวุธเข้าตอบโต้หรือจัดการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างเงื่อนไขทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เพื่อขจัดรากเหง้าความรุนแรง เพื่อดึงแนวร่วมออกจากขบวนการ รวมไปถึงการชนะใจบุคคลในขบวนการดังกล่าว
"ปัญหาและความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น น่าจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า รัฐบาลและสังคมไม่มีความสามารถในการใช้สันติวิธี เพราะว่าไม่มีความเข้าใจ ปัญหาโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและกระบวนการยุติธรรม ทำให้เกิดช่องว่างทางวัฒนธรรม ทำให้ประชาชนรู้สึกต่ำต้อย ไร้ศักดิ์ศรี จึงทำให้เกิดปัญหา"พระไพศาล กล่าว
พระไพศาล กล่าวอีกว่า ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด เป็นอุปสรรคที่สำคัญในการใช้สันติวิธี เมื่อรู้สึกโกรธ เกลียด กลัว ก็เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน สังคมไทยกำลังอ่อนแอ พยายามอย่าใช้ความโกรธตอบโต้ความรุนแรง เราต้องเอาชนะความ โกรธ เกลียด กลัวให้ได้โดยเริ่มจากการเอาชนะความโกรธ เกลียด กลัว ในใจของเราให้ได้ ไม่มีวิธีใดที่จะกำจัดศัตรูได้ดีที่สุดเท่ากับการเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตร