Skip to main content
sharethis


ผู้ที่ติดตามเรื่องการก่อการร้ายอย่างใกล้ชิด ก็คงจะได้รับรู้กันแล้วว่า อัสฮารี ฮูเซ็น หรือ ฉายา จอมทำลายล้าง ผู้อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดที่บาหลี และระเบิดครั้งใหญ่ๆ อีกหลายครั้งในอินโดนีเซีย ได้ถึงการอวสานไปแล้วในระหว่างที่ตำรวจอินโดนีเซียบุกจับเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

 


เรื่องนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จระดับหนึ่งของเจ้าหน้าที่ที่พยายามจะจับตัวหรือเข้าให้ถึงตัวแกนนำผู้ก่อการร้ายให้ได้ แม้จะยังเป็นปริศนาอยู่ว่า เขาตายด้วยวิธีใด จะเป็นการระเบิดตัวเองตายหรือถูกเจ้าหน้ายิง หรือจะด้วยวิธีใดก็ตาม แต่สำหรับบรรดาผู้ศรัทธาและเชื่อมั่นในแนวเดียวกับเขาแล้ว ล้วนแต่อยากจะเชื่อว่า เขาระเบิดตัวตายเอง


 


แน่นอนว่า ความตายของอัสฮารี หรือ จอมทำลายล้างผู้นี้ ย่อมจะมีนัยสำคัญและมีผลที่จะเกิดขึ้นตามมา


 


คนที่เคยรู้ประวัติของอัสฮารีนั้น คงได้แต่ตั้งข้อสงสัยว่า คนที่เป็นนักวิชาการที่อารมณ์ดีมากๆ คนหนึ่ง คนที่เคยเป็น "แฟมิลี่ แมน" จะสามารถทอดทิ้งครอบครัว แล้วมากลายเป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นมืออาชีพในการผลิตระเบิดและการทำลายล้างไปได้อย่างไร เพราะดูแนวทางชีวิตของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมาบนเส้นทางสายการก่อการร้ายได้เลย


 


อัสฮารี เกิดที่มาเลเซีย ในครอบครัวชนชั้นกลาง และได้รับการศึกษาจากตะวันตก กล่าวคือ เข้าได้ไปเรียน อเดเลคจากออสเตรเลีย 4 ปี  โดยใช้ชีวิตที่ค่อนข้างจะหรูหราฟุ่มเฟือย ก่อนที่จะกลับมาเรียนต่อที่มาเลเซียจนสำเร็จได้ปริญญาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ต่อจากนั้นก็ได้ไปเรียนปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย รีดดิ้ง ของอังกฤษ และสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกด้านการประเมินทรัพย์สินโดยทุนของรัฐบาล


 


เขาเคยเป็นที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ในจาการ์ต้า ในช่วงกลางๆ ทศวรรษ 1990  และเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เขาและภรรยาก็ไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยยอ์รค จาการ์ต้า เป็นเวลา 6 เดือน ก็กลับมาที่ยะโฮร์ มาเป็นอาจารย์สอนหนังสือยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี


 


แต่ภายหลังจากที่คลอดลูกคนที่สองได้ไม่นาน ภรรยาก็ไปตรวจพบว่า เป็นมะเร็งในหลอดคอ ทำให้ไม่สามารถสอนหนังสือได้อีก จุดนี้เองที่ทำให้อัสฮารี หันหน้าเข้าหาศาสนา และที่นี่เองที่ทำให้เขารู้จักกับ เจ.ไอ ( เจมาห์ อิสลามิยาห์) เครือข่ายก่อการร้าย และที่นี่เองที่เขาได้พบและกลายเป็นคู่หูกับ นูร์ดิน โมฮัมเหม็ด ท้อป ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียด้วยกัน และร่วมทำงานการก่อการร้ายด้วยกันมาตลอด ขณะนี้ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่


 


อัสซารีได้ไปรับการฝึกทางการทหารจากภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และจากค่ายของอัล-กออิดะ ในอัฟกานิสถานเมื่อปี 1999 ที่นี่เองที่เขาได้เรียนรู้ที่จะเป็นมือระเบิด


 


ในปี 2001 เขาจากบ้านไปโดยทิ้งภรรยาที่เจ็บป่วยและลูกอีกสองคนโดยไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย แม้จะรู้ว่าภรรยานั้นพูดไม่ได้และไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้แล้ว สารที่เขาส่งมาถึงภรรยาของเขาคือ "ฉันมีสิ่งสำคัญที่จะต้องทำในชีวิต นั่นคือการรับใช้พระเจ้า"


 


จนกระทั่งในที่สุดขณะนี้ ชีวิตเขาได้ถึงตอนอวสานลงแล้ว ทว่าสิ่งที่พึงจะต้องติดตามต่อไปก็คือ การจากไปของเขาอาจไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะลดน้อยถอยลง เพราะอย่าลืมว่า นูร์ดิน ยังอยู่ และเขาเป็นคนที่มีบทบาทในการคัดเลือกคนมาเข้าร่วมก่อการและเชื่อในการพลีชีพ การดำเนินการเรื่องนี้ก็จะดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีอัสฮารี แต่เขาเองนั้นก็ได้ฝึกฝนลูกศิษย์ที่จะสืบทอดในการวางระเบิดเอาไว้แล้ว ซึ่งว่ากันว่าล้วนแล้วแต่ฝีมือดีกว่ามือวางระเบิดของกลุ่มเจไอเสียอีก  และบุคคลเหล่านี้ย่อมจะต้องสานต่อเรื่องนี้แน่นอน


 


การตายของอัสฮารีครั้งนี้ จะทำให้เกิดการเลียนแบบในกลุ่มบุคคลที่เขาเคยฝึกฝน และคิดว่าเขาเป็น "ฮีโร่" ได้ แม้แต่ภรรยาและลูกที่เขาทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีก็ยังยินดีที่ได้เห็นเขาจบชีวิตแบบจากตายเช่นนี้ว่ายังดีกว่าการถูกจับได้ เพราะเขาจะต้องเสื่อมเสียเกียรติและทุกข์ทรมาน


 


 แต่สถานการณ์ที่จะแย่ไปกว่านี้ก็คือ การไม่มีตัวผู้นำ จะทำให้การเข้าถึงตัวหรือการเฝ้าระวังเพื่อการจับกุมตัวผู้ก่อการร้ายย่อมทำได้ยากมากขึ้น เพราะทุกคนจะทำด้วยตัวของตัวเอง ทั้งเนื่องมาจากความเชื่อ และทั้งจากสิ่งที่เรียกว่า เป็นการ "ลองของ" ที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่อัสซารี กระทำหลังจากที่หัวหน้ากลุ่มเจไอ บางคนได้ถูกจับกุมตัวไป และหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีการรุนแรง แต่เขาก็กระทำโดยไม่มีคำสั่งจากเจไอ ต่อมาก็มาฝึกฝนคนใหม่โดยไม่ผ่านเจไอ


 


มาถึงตอนนี้เรียกได้ว่า การกระทำการก่อการร้ายนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นการกระทำของกลุ่มใดหรือต้องมีใครออกมาประกาศตัวรับผิดชอบอีก เนื่องจากวิธีคิดเหล่านี้ได้แพร่หลายไปแล้ว และหากตัวการในการกระทำเหตุร้ายคนหนึ่งจากไป คนอื่นที่เชื่อแบบเดียวกันก็จะต้องเกิดขึ้นมาทดแทน โดยแทบจะไม่ต้องรู้จักกันด้วยซ้ำ


 


ดังนั้น นี่จึงเป็นเพียงตอนอวสานของ "จอมทำลายล้าง" คนที่ 1 เท่านั้น ยังจะต้องมีคนต่อๆไปอีกอย่างแน่นอน และเชื่อว่ายากที่เหตุการณ์เช่นนี้จะยุติลงได้ในเวลาอันสั้น


 


เพราะว่านี่ไม่ใช่การทำสงครามกับอาวุธเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว แต่เป็นการต่อสู้กับความเชื่อซึ่งยากที่จะกำจัดด้วยอาวุธได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net