Skip to main content
sharethis


 


ประเวศ  วะสี


 


ความรุนแรงที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรจะดำรงอยู่ต่อไป นอกเหนือไปจากต้องพยายามจับคนร้ายให้ได้แล้ว ควรจะสร้างเงื่อนไขการวางอาวุธ เช่นว่า ถ้าผู้ใดยุติการใช้ความรุนแรงภายในระยะเวลา 6 เดือนจากนี้ไป และมาร่วมพัฒนาโดยสันติวิธี รัฐบาลจะนิรโทษกรรมไม่จับกุมคุมขัง เหมือนเมื่อคราวยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธของคอมมิวนิสต์เมื่อ 25 ปีก่อน


 


คำว่าร่วมพัฒนา หมายถึง กระบวนการทำพันธะสัญญาทางสังคม (Social Contract) เรื่องนี้ต้องการทำความเข้าใจ ซึ่งจะขออธิบายดังต่อไปนี้


 


ในหมู่คนไทยมุสลิมและคนไทยพุทธใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเรื่องที่ค้างคาใจอยู่ลึกๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหา จะพูดแต่เรื่องกระจายอำนาจการปกครอง จะทำไม่ได้หรือแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าไม่มีกระบวนการถอนสิ่งที่ค้างคาใจในส่วนลึกออก สิ่งที่ค้างคาใจคืออะไร


 


สำหรับคนไทยมุสลิม มี 2 เรื่อง คือ


 


(1) ต้องการมีชีวิตทางศาสนา จึงมีความกลัวว่าระบบการศึกษาของรัฐหรือที่เรียกว่าการศึกษาสามัญจะไปทำลายความเชื่อในศาสนาอิสลามของลูกหลานของเขา ทำให้จำกัดตัวอยู่กับการเรียนทางศาสนาที่โรงเรียนปอเนาะ การขาดโอกาสทางการศึกษาสามัญ กระทบโอกาสในการทำงานและการมีรายได้ ทำให้ตกอยู่ในความยากจน แต่เขาก็ยอมจนมากกว่ายอมให้กระทบกระเทือนชีวิตทางศาสนา แต่ความยากจนก็เกิดสภาพบีบคั้นต่อชีวิต จิตใจ และสังคม เป็นพื้นฐานให้บางคนถูกชักนำไปในทางสุดโต่งรุนแรงได้


 


 (2) ขาดความยุติธรรมจากข้าราชการที่ไม่ดี การขาดความยุติธรรมใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ที่บีบคั้นทางจิตใจและสังคมอย่างรุนแรง ซ้ำเติมให้ปัญหารุนแรงมากขึ้น


 


สำหรับคนไทยพุทธ เป็นคนส่วนน้อยในท่ามกลางคนส่วนใหญ่ที่เป็นมุสลิม การเป็นคนส่วนน้อยย่อมมีความไม่สบายใจ ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหรือไม่เห็นใจคนส่วนน้อย หรือทำอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นการบีบคั้น คนไทยพุทธส่วนน้อยใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังพออุ่นใจอยู่ได้ก็ตรงที่มีกลไกของรัฐที่เป็นพุทธ ถ้าพูดถึงการกระจายอำนาจการปกครองหรือให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ยังไงเสียคนไทยมุสลิมก็ต้องได้รับการเลือกตั้ง ถ้าการปกครองเป็นการปกครองโดยคนไทยมุสลิม คนไทยพุทธส่วนน้อยก็กลัวจะถูกกดขี่ ความกลัวนี้จะได้รับความเห็นใจ จากทางราชการและจากคนไทยพุทธทั่วประเทศ


 


ฉะนั้นจะไปพูดเรื่องการปกครองตัวเองของ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้รับเสียงคัดค้านระงม เรื่องนี้ก้าวหน้าต่อไปไม่ได้ จะไปออกกฎหมายบังคับอย่างใดๆ ก็ไม่ทำให้หายกลัว จึงไม่ใช่หนทางที่จะเดิน


 


เรื่องทำนองเดียวกันเคยเกิดขึ้นที่แอฟริกาใต้ ที่นั่นคนขาวส่วนน้อยปกครองคนดำส่วนใหญ่ด้วยการเหยียดผิวอย่างรุนแรง ทำอย่างไรๆ คนขาวก็ไม่ยอมให้มีการเลือกตั้ง เพราะถ้าเลือกเมื่อไร คนดำซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ก็จะต้องขึ้นมามีอำนาจแล้วก็อาจจะมาฆ่าคนขาว ความขัดแย้งจึงดำรงอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีทางออก จนกระทั่งมีกระบวนการสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจ ว่าถ้าคนดำขึ้นมามีอำนาจก็จะเคารพสิทธิของคนขาวซึ่งเป็นคนส่วนน้อยและมีการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ประกอบกับมี นายเนลสัน แมนเดลา ผู้นำคนผิวดำที่ทั้งคนขาวและคนดำให้ความเชื่อถือไว้วางใจว่าเป็นผู้ยึดมั่นในอภัยวิถีและสันติวิธี แอฟริกาใต้จึงมีทางออกด้วยสันติวิธี และมีการอยู่ร่วมกันด้วยสันติระหว่างคนดำกับคนขาวสืบมา


 


ฉะนั้น ทางออกจึงไม่ใช่ออกกฎหมายกระจายอำนาจ หรือจัดตั้งเขตปกครองพิเศษ แต่อยู่ที่กระบวนการสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจ ซึ่งขอเรียกว่ากระบวนการสร้างพันธะสัญญาทางสังคม (Social Contract) ระหว่างกัน


 


ระหว่างใครกับใคร


 


ระหว่าง 3 ฝ่ายด้วยกันคือ


         • คนไทยพุทธส่วนน้อย


         • คนไทยมุสลิมส่วนใหญ่


         • ภาครัฐ


 


ต้องส่งเสริมการสานเสวนา (Dialogue) ระหว่าง ๓ ฝ่าย


 


เดี๋ยวนี้มีเทคนิคที่ทำให้คนมีความคิดเห็นต่างกันมาคุยกันด้วยมิตรไมตรี ไม่เน้นการโต้เถียง เพราะการโต้เถียงเป็นเรื่องตื้นเกินและไม่ยกระดับจิตสำนึก แต่เน้นการฟังอย่างลึก (Deep listening) ซึ่งทำให้เข้าไปสู่จิตใจส่วนลึก เข้าไปสัมผัสกับเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่ฝังลึกอยู่ในตัวคนทุกคนไม่ว่าชาติใด ภาษาใด การสานเสวนาทำให้เกิดความเข้าใจร่วมและความไว้วางใจกัน ถอดชนวนความกลัวลึกๆ ออกไปจากหัวใจและตกลงกันได้ โดยมีพันธะสัญญากัน ดังเช่น


 


        • ชาวไทยพุทธซึ่งเป็นคนส่วนน้อยจะได้รับการเคารพสิทธิ


        • ชาวมุสลิมซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ มีสิทธิที่จะมีชีวิตทางศาสนาอิสลาม  จะไม่มีการกระทำใดๆ จากภาครัฐที่ไปลบล้างความเชื่อทางศาสนา มีการจัดระบบการศึกษาที่คนมุสลิมจะได้ศึกษาทั้งทางศาสนาอิสลามและการศึกษาสามัญเพื่อเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่คนมุสลิม


        • ภาครัฐ จะต้องมีกลไกคัดสรรข้าราชการดีๆ ที่ซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม สามารถส่งเสริมการพัฒนาใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างสอดคล้องกับวัฒนธรรมของกลุ่มชน ทั้งพุทธและมุสลิม หรือกลุ่มวัฒนธรรมอื่นใด


 


พันธะทางใจต่อกันนี้มีคุณค่ามหาศาล ทำให้ฝ่าความยากลำบากต่างๆ ได้ แต่ต้องการกระบวนการสานเสวนาที่ละเอียดอ่อนและถูกต้อง เกิดไม่ได้โดยการสั่งให้เกิดหรือกระบวนการสุกเอาเผากิน แต่ต้องทำโดยการมีความเคารพต่อกันของทุกฝ่าย


 


เมื่อมีความเข้าใจร่วม ไว้วางใจกัน และหายกลัว จะเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาใหม่ๆ ร่วมกันอีกมากมาย เพื่อสันติสุขอย่างยั่งยืน


 


การที่จะเกิดกระบวนการสร้างพันธะสัญญาทางสังคม ต้องมีองค์กรที่เป็นกลางช่วยประสานงาน ก็ กอส. นั่นแหละ เพราะเป็นองค์กรอิสระที่มีทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ภาคราชการ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ อยู่ในนั้นอยู่แล้ว กอส. ควรส่งเสริมกระบวนการสร้างพันธะสัญญาทางสังคม ระหว่างคนไทยพุทธ คนไทยมุสลิม และภาครัฐ ดังกล่าวข้างต้น แต่จะทำได้รัฐบาลต้องสร้างเงื่อนไขการวางอาวุธ


 


องค์กรสื่อที่จัดเวทีนโยบายสาธารณะเพื่อพัฒนานโยบายดับไฟใต้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการกระตุ้นและประสานให้ฝ่ายต่างๆ มาร่วมกันขบคิดถึงนโยบาย มาตรการ และกลไก ในการดับไฟใต้ให้ได้โดยรวดเร็ว ซึ่งบัดนี้ผมได้นำเสนอว่านอกเหนือจากการพยายามจับคนร้ายให้ได้ ในขณะเดียวกันควร


 


        ๑. สร้างเงื่อนไขการวางอาวุธ


        ๒. ร่วมทำพันธะสัญญาทางสังคม


 


ในกระบวนการร่วมทำพันธะสัญญาทางสังคม ควรมีการสื่อสารให้เกิดการรับรู้และมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ให้คนทั้งหมดมีความชื่นชมร่วมกันในความก้าวหน้าและผลสำเร็จ ความชื่นชมร่วมกันจะทำให้เกิดสิ่งดีๆ เพิ่มขึ้นได้อีกมากในสังคมไทย


 


............................


ที่มา : ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net