อ. เสน่ห์ จามริก
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ศ.
ศ.เสน่ห์ได้กล่าวปาฐกถาเพื่อให้กำลังแก่ขบวนธรรมชาติยาตราในครั้งนี้ด้วย พร้อมกับเน้นย้ำว่า ป่าชุมชนคือแหล่งทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพที่จะต้องรักษาไว้ ที่คนทั้งประเทศจะต้องร่วมมือร่วมใจรักษาไว้ ไม่แต่เฉพาะเพื่อรักษาอดีตไว้เท่านั้น แต่หากหมายถึงการรักษาไว้เพื่ออนาคตของคนทั้งประเทศด้วย
....................................
ผมได้รับคำเชิญให้มาร่วมงานธรรมชาติยาตราเพื่อป่าชุมชนคนทั้งประเทศ และผมได้อ่านข้อแถลงเหตุผลในการที่เรามาร่วมธรรมชาติยาตราตรงนี้ มีคำหนึ่งที่ผมติดใจ แล้วก็รู้สึกสบายใจที่บอกว่าการคิดเรื่องป่าชุมชน ไม่ใช่เรื่องของคนในชุมชน แต่เป็นปัญหาของคนทั้งประเทศ ตรงนี้ผมว่าเป็นหลักคิดที่เป็นคุณูปการอย่างสูง เป็นจุดที่จะทำให้เกิดแนวทางที่มีความถูกต้องชอบธรรมและน่าจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนับสนุนร่วมมือของคนในวงกว้างต่อไปอีก
ปัจจุบัน พอเราพูดถึงทุน เรามักจะนึกถึงเงิน แต่ต้นทุนของชุมชน คือ ภูมิปัญญา เป็นจิตวิญญาณและความรู้สึกนึกคิดร่วมกันที่จะอนุรักษ์ปกป้องทรัพยากรที่เป็นต้นทุนชีวิต ถือเป็นต้นทุนชีวิตที่แตกต่างจากคนทั่วประเทศและคนทั้งโลกด้วย ป่าของประเทศไทยไม่ใช่ป่าธรรมดา หรือเป็นป่าผืนเล็ก ๆ แต่เป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์มาก
สมัยก่อนฝรั่งแผ่อำนาจเข้ามาเพื่อที่ครอบครองดินแดนและตักตวงทรัพยากรธรรมชาติ มองทรัพยากรเป็นเพียงต้นไม้ วิธีการที่มาครอบครองคือการเอาไม้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ การเข้ามาครอบครองดูแลและใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ก็อ้างหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ในแง่การตักตวงผลประโยชน์มากกว่า
สำหรับชุมชน ป่าไม่ใช่แค่เนื้อไม้ แต่มีทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ ในทางตรงกันข้ามชาวบ้านที่ดูแลรักษานั้นมีความรู้ ภูมิปัญญาในการจัดการป่าอีกแบบหนึ่ง จะใช้ประโยชน์จากป่าอย่างไร ส่วนใหญ่เป็นการใช้ประโยชน์ในเรื่องปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต เช่นเรื่องของอาหารการกิน ที่อยู่ โดยเฉพาะยารักษาโรคเท่านั้นเอง ขณะที่ผู้นำประเทศมองป่าในแง่ของการตักตวงผลประโยชน์ไม่ต่างจากการครอบงำจากภายนอก
การที่กลุ่มผู้นำระดับประเทศกับพี่น้องในชุมชน รวมไปถึงนักวิชาการมีมุมมองในการมองป่าที่แตกต่างกัน จึงทำให้เป็นปัญหามาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี อาจจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ก็กลายเป็นเครื่องมือของผลประโยชน์ภายนอก เห็นชัดเจนว่าสังคมเรามีปัญหาช่องว่างอย่างมาก
ผมไปที่ไหนก็พูดว่าป่าไม่ใช่มีแต่ต้นไม้ แต่มีทรัพยากรชีวภาพอันหลากหลายด้วย มีส่วนประกอบสำคัญคือชุมชนที่ทำให้ความหลากหลายยังคงอยู่ คนกับป่าอยู่มาหลายชั่วคนแล้ว ผมเรียนรู้จาก อ.สมศักดิ์ สุขวงศ์ ผมก็รู้ว่าป่าทุกวันนี้ท่านเรียนว่าป่ารุ่น 2 หมายความว่าไม่ใช่ป่าดั้งเดิม ป่าที่ยืนยาวทุกวันนี้เกิดจากการฟื้นฟูและพัฒนาจากภูมิปัญญาของชุมชน
ทำไมป่ากับคนอยู่กับป่าจึงอยู่ด้วยกันได้ เพราะคนก็ใช้ป่าเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มีปัจจัยสี่ครบครันหมด แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีภูมิปัญญาที่จะบูรณะป่าให้มีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น มีการขยายพันธุ์ ปลูกพืชพันธ์ใหม่ขึ้น เมื่อมีพืชก็จะมีสัตว์ที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่เวลามาตั้งคำถามแล้วว่าคนกับป่าอยู่ด้วยได้หรือไม่เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระบรมราโชวาทว่าการที่กรมป่าไม้มาขีดเส้นบนป่าสงวน ตอนที่ออกกฎหมายป่าสงวนปี 2507 แล้วไล่คนออกจากป่าใครนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะกฎหมายนั้นมีไว้เพื่อทำให้คนมีความสงบสุข แต่ไม่ใช่มีไว้เพื่อบังคับคน ถ้ามาบังคับคนก็เป็นเผด็จการ ไม่มีความยุติธรรม
แท้ที่จริงนักวิชาการกรมป่าไม้ก็เป็นเหยื่อของการถ่ายทอดความรู้จากภายนอก ก็อยากให้เข้าใจและเห็นใจซึ่งกันและกัน และอยากให้พี่น้องนักวิชาการป่าไม้เคารพภูมิปัญญาของพี่น้องที่อยู่อาศัยในพื้นที่ด้วย
ปัจจุบัน ป่าชุมชนถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะทรัพยากรป่าของเราเป็นป่าเขตร้อนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก เรามีภูมิปัญญาเป็นต้นทุน ทรัพยากรชีวภาพนี้กำลังเป็นที่หมายปอง และกำลังจะถูกช่วงชิงจากชาติมหาอำนาจ ดังนั้นการต่อสู้เพื่อรักษาป่าชุมชนจึงมิใช่แค่การต่อสู้เพื่อการดำรงวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ เหมือนในอดีตเท่านั้น หากแต่ทั้งชุมชนและคนในสังคมก็จะต้องเห็นความสำคัญเพราะเป็นการปกป้องทรัพยากรชีวภาพที่เป็นสมบัติของชาติด้วย
หากเราเพิกเฉยก็จะมีคนอื่นเอาทรัพยากรของเราไปทำประโยชน์ เช่น นำสมุนไพรไปจดสิทธิบัตร และหาประโยชน์ได้สบาย หรือ มะละกอของเราตอนนี้อยู่ดีๆเขาก็เอามะละกอที่กลายพันธุ์ จีเอ็มโอมาให้ แล้วก็จะผูกขาดเมล็ดพันธ์ เราก็ต้องไปซื้อเมล็ดพันธ์จากเขา
ยา และอาหารกำลังเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ความจริงคุณทักษิณไม่ได้คิดขึ้นมาใหม่ แต่เขามีความสามารถที่จะทันโลกและนำมาใช้ประโยชน์ในประเทศ แต่ยังเป็นผลประโยชน์ในวงแคบ เราต้องทำให้เป็นผลประโยชน์ในวงกว้างและสร้างสรรค์ด้วย
ป่าบ้านเราไม่ได้แบ่งเป็นผืน ๆ แต่เป็นป่าเป็นผืนเดียวกัน เพียงแต่การปกครองพื้นที่มาแบ่งป่าเป็นตำบล อำเภอเท่านั้นเอง ความจริงเราร่วมสายน้ำเดียวกัน จุดแข็งเรื่องป่าชุมชนคือการสร้างเครือข่าย เราจึงต้องร่วมมือกัน คนกับป่าจึงมีส่วนเกื้อกูลกับสังคมภายนอกด้วย
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกำลังทำโครงการใหญ่ที่จะกระตุ้นการกระจายอำนาจสู่ท่องถิ่นตามรัฐธรรมนูญ ผมรู้ว่าไม่มีการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแม้แต่มาตราเดียว ไม่มีใครที่จะทักท้วง เพราะทุกคนสยบต่ออำนาจหมด ป่าชุมชนถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ดี
ป่าชุมชนนั้นเราพูดมาเป็นเวลากว่า 15 ปี ผมเคยเขียนปฏิญญาว่าด้วยเรื่องสิทธิชุมชนเมื่อปี 2534- 2535 และระดมพี่น้องป่าชุมชนต่างๆ มาร่วมกันร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชนขึ้นเป็นครั้งแรก และดีใจที่มีการสืบสานเรียกร้องเรื่อง พ .ร.บ.ป่าชุมชนกันมาจนถึงวันนี้
การที่พี่น้องทำกิจกรรมธรรมชาติยาตราเพื่อป่าชุมชนถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะความรู้ทางวิชาการนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ที่จะทำให้เป็นตัวตนขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยพลังของพี่น้อง ลำพังพี่น้องในชุมชนเดียวก็ไม่พอ จะรักษาป่าเฉพาะชุมชน หรือรักษาสายน้ำเฉพาะช่วงไม่ได้ เช่น โรงงานทำน้ำตาลที่ขอนแก่นปล่อยน้ำเสียออกมา ปลาก็เน่าทั้งแม่น้ำ
ผมคิดว่าเราต้องทำความรู้ให้เป็นพลังและขยายเครือข่ายขึ้น ขบวนการของป่าชุมชนนั้นเริ่มต้นมาดีอยู่แล้ว มีฐานความรู้ งานวิจัยที่หนักแน่น เราต้องทำให้เกิดความเข้มแข็งของขบวนการที่แท้จริง ปัญญาทางรัฐสภาเราอย่าไปกังวล เพราะรัฐสภาเป็นสถานที่ซึ่งคนเข้าไปใช้เพื่อสนองผลประโยชน์ส่วนตัวค่อนข้างมาก รัฐบาลไทยของเราเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ เห็นประโยชน์เฉพาะหน้า
ดังนั้นป่าชุมชนจึงอยู่ลำพังไม่ได้ ต้องประสานความร่วมมือกัน มองไปข้างหน้าเราไม่แค่พูดว่าคนอยู่กับได้หรือป่าอยู่กับคนไม่ได้ แต่สามารถพูดได้ว่าทั้งคนทั้งป่าสามารถเกื้อกูลต่อประเทศชาติได้ และป่าชุมชนเป็นของคนทั้งประเทศ.
......................................................
หมายเหตุ เรียบเรียงจาก ปาฐกถา ศ.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)