Skip to main content
sharethis


 


โดย อ. อับดุชชะกูร์ บิน ชาฟิอีย์ ดินอะ(อับดุลสุโก ดินอะ) : Shukur2003@yahoo.co.uk


 


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน


 


เมื่อ 15 ธันวาคม 2548 ผู้เขียน(ร่วมกับผู้ฟังกว่า 1000 คนโดยเฉพาะผู้นำองค์กรมุสลิม ห้าจังหวัดชายแดนใต้) ได้มีโอกาสเข้าฟังพระราชดำรัส(ภาษาอังกฤษ)ของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร


 


พระราชดำรัสของพระองค์มีความสำคัญอยู่สองประเด็นด้วยกัน


1.สถานการณ์การก่อการร้ายโลกที่ทำในนามศาสนาอิสลาม


2. มุสลิมภาคใต้ภายใต้ร่มธงชาติไทย


 


สถานการณ์การก่อการร้ายโลกที่ทำในนามศาสนาอิสลาม


พระองค์ทรงโจมตีแนวคิดและขบวนการก่อการร้ายโลกที่ทำในนามศาสนาอิสลามโดยนำหลักฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานและวจนะศาสดามุฮัมมัดมาหักล้างแนวคิดการก่อการร้าย โดยพระองค์ทรงพระราชดำรัสไว้ตอนหนึ่งว่า


 


"วันนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายถึงเรื่องความผูกพันทางจริยธรรมที่สืบทอดกันมา ที่สามารถช่วยให้พวกเราเผชิญอันตรายและภัยความแตกแยกของศตวรรษนี้พวกเราต่างเชื่อในสันติภาพ ความยุติธรรมและกรุณาปราณีในคัมภีร์อัล - กุรอาน พระเจ้าได้ตรัสความว่า


 


"และ อัลลอฮฺโปรดได้ทรงกำหนด (*1*) ความดีให้แก่พวกข้าพระองค์ในโลกนี้ และในปรโลกด้วย แท้จริงพวกข้าพระองค์สำนึกผิดและกลับมายังพระองค์แล้ว พระองค์ตรัสว่า การลงโทษของข้านั้น ข้าจะให้มันประสบแก่ผู้ที่ข้าประสงค์(*2*) และการเอ็นดูเมตตาของข้านั้น กว้างขวางทั่วทุกสิ่งซึ่งข้าจะกำหนดมันให้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรง และชำระซะกาต(ทานบังคับในศาสนาอิสลาม)และแก่บรรดาผู้ที่พวกเขาศรัทธาต่อบรรดาโองการของเรา" (อัลกุรอาน 7:156)


 


ท่านศาสดามูฮัมมัด (ขอ-ความสันติสุขจนมีแด่ท่าน) ได้วจนะความว่า "ผู้ที่มีความเมตตาย่อมได้รับความเมตตาจากผู้เป็นเจ้า จงให้ความเมตตาแก่ผู้อยู่บนผืนโลก เพื่อผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ (อัลลอฮฺ) จะได้ให้ความเมตตาแก่เจ้า"


 


ศาสนาอิสลามรังเกียจความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดหรือนับถือศาสนาใดก็ตาม ท่านศาสดามูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวกับพวกเราว่า "ขอสาบานด้วยผู้ซึ่งมีชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของท่าน (อัลลอฮฺ) แท้จริงคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าจะไม่ถือว่ามีศรัทธา จนกว่าเขาจะรักต่อพี่น้องของเขาเสมือนดังรักต่อตัวเขาเอง" และท่านได้กล่าวว่า "ไม่มีความเป็นอันตรายใด ๆ ในอิสลามและอิสลามไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งใด ๆ"


 


คำสอนเหล่านี้สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความเกลียดชัง ซึ่งขับเคลื่อนพวกหัวรุนแรงของศาสนาใดก็ตาม อุดมคติและวิธีการของคนเหล่านี้ละเมิดกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลามเพราะไม่ว่าจะมีความไม่พอใจใด ๆ ก็ตาม คัมภีร์อัล-กุรอาน บัญชาไว้ความว่า : " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเพื่ออัลลอฮ์ เป็นพยานด้วยความเที่ยงธรรมและจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า และพึงยำเกรงต่อ อัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน" (อัลกุอาน 5 : 8)


 


ผู้ใดก็ตามที่กล่าว่าศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนลัทธิของความรุนแรงและก่อการร้ายนั้น ต้องอธิบายให้ชาวมุสลิมทั้งชาย หญิงและเด็กที่ได้ล้มตายเพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับอุดมคติที่ผิดเพี้ยนไปคนกลุ่มน้อยฟังด้วย เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ชาวมุสลิมเป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกของพวกหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดฝ่ายที่คัดค้านพวกตน


 


แต่ชาวมุสลิมทั่วโลกก็ยังคงขัดขืนพวกหัวรุนแรงและก่อการร้าย หลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่กรุงอัมมานเมื่อเดือนที่แล้ว ชาวจอร์แดนทั่วทุกหนแห่งต่างลุกขึ้นเพื่อต่อต้านภัยคุกคามและพิทักษ์ความเชื่อที่แท้จริงของอิสลาม ข้าพเจ้าทราบว่าชาวจอร์แดนร่วมกับชุมชนมุสลิมอีก 1.2 พันล้านคนทั่วโลกซึ่งต่างต่อต้านลัทธิใช้ความรุนแรง และใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความปรองดองและสันติสุข เสียงของพวกเขาคือเสียงของอิสลามดั้งเดิมที่แท้จริง"


 


พระองค์มองว่า แนวคิดสุดโต่ง การใช้ความรุนแรงและขบวนการก่อการร้ายโลกที่ทำในนามศาสนาอิสลามนั้นผู้นำประเทศมุสลิมจะต้องร่วมมือกับปราชญ์มุสลิมออกมาต่อต้านและแถลงการณ์ฟัตวา (วินิจฉัยทางศาสนา) มิฉะนั้นปราชญ์จอมปลอมจะออกฟัตวาชี้นำเยาวชนไปสู่แนวคิดสุดโต่งอันจะเพิ่มความเสื่อมเสียต่อศาสนาอิสลามและมุสลิมเองอย่างเช่นที่เป็นอยู่ปัจจุบัน


 


"เพื่อให้เสียงแห่งอิสลามได้ยินไปทั่ว รัฐบาลจอร์แดนได้เผยแพร่แถลงการณ์อัมมาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 แถลงการณ์สั้น ๆ นี้ได้อธิบายต่อชาวมุสลิม และประชาคมโลกถึงธรรมชาติที่แท้จริงของอิสลาม อีกทั้งเรียกร้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของมนุษยชาติ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม จอร์แดนได้จัดการประชุม โดยมีนักปราชญ์ด้านอิสลามศึกษาหรือที่เรียกว่าอุลามาอฺ 180 คน จาก 45 ประเทศ มาเข้าร่วม ซึ่งเป็นตัวแทนจาก 8 สำนักคิดของศาสนาอิสลาม และได้รับการสนับสนุนจาก 20 สถาบันอิสลามชั้นนำระดับโลก


 


การประชุมส่งผลให้เกิดข้อตกลงร่วมเพื่อยุติการละเมิดหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เหล่านักปราชญ์ให้การรับรองความถูกต้องของแนวคำสอนของศาสนาอิสลามทั้งแปด และแนวคำสอนของซูฟีและอัชอารี โดยได้มีถ้อยแถลงประณามแนวคำสอนที่มักจะใส่ร้ายผู้อื่นอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่นิยมความรุนแรง ซึ่งประณามบุคคลอื่นว่าเป็นพวกนอกรีตเพื่อใช้เป็นข้ออ้างของการใช้ความรุนแรง ซึ่งประณามบุคคลอื่นว่าเป็นพวกนอกรีตเพื่อใช้เป็นข้ออ้างของการใช้ความรุนแรง แนวคำสอนที่มักจะใส่ร้ายผู้อื่นอย่างรุนแรงระบุเงื่อนไขชัดเจนในการออกคำชี้ขาด (ฟัตวา) ชาวมุสลิมทุกแขนง ทุกที่สามารถยืนยันโดยไม่ต้องสงสัยว่าคำชี้ขาด หรือฟัตวา ที่เรียกร้องให้ประหัตประหารผู้บริสุทธิ์ จะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม เป็นการละเมิดหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของอิสลาม เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ตามคำร้องขอของจอร์แดน ประเทศมุสลิมทุกประเทศได้รับรองหลักการหลักการนี้ ระหว่างการประชุมสุดยอดขององค์การการประชุมอิสลามที่นครเมกกะ


 


การยึดมั่นในหลักคำสอนของอิสลามเป็นอาวุธสำคัญในการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรง โดยการเปิดโปงคำสัญญาที่หลอกลวงและอุดมการณ์ที่ว่างเปล่าของลัทธิหัวรุนแรง และชักนำเยาวชนมุสลิมไปสู่แก่นแท้ของความเชื่อ ซึ่งจะทำให้พวกเขาเป็นหุ้นส่วนในการก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติอย่างสมบูรณ์


 


อาวุธสำคัญอีกประการหนึ่งในการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรง คือ ความร่วมมือและการปฏิสัมพันธ์ของประชาคมโลก เพราะลัทธิหัวรุนแรงไม่ได้มีเป้าหมายเพียงคนหรือทรัพย์สิน แต่มีเป้าหมายที่ความนึกคิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขาบรรลุเป้าประสงค์ได้สะดวกเท่าการสร้างความขัดแย้งทางอารยธรรมที่จะยุติความร่วมมือและความสมานฉันท์ของมนุษยชาติ วัตถุประสงค์ของพวกเขา คือการเพาะหว่านความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและความแตกแยก พวกเขาไม่ได้แสวงหาการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนต่างลัทธิความเชื่อ แต่ต้องการให้ทวีความรุนแรงให้มากขึ้น


 


แต่ลัทธิหัวรุนแรงไม่ใช่ตัวแทนของศาสนาอิสลามหรือโลกขอชาวมุสลิม ดังจะเห็นได้จากการทำลายพระพุทธรูปปามิยันในอัฟกานิสถาน ชาวมุสลิมทุกหนแห่งต่างประณามการกระทำครั้งนี้ พวกเรารำลึกเสมอว่าเมื่อพันกว่าปีหรือมากกว่านี้ พระพุทธรูปเหล่านี้ตั้งอยู่ในดินแดนของชาวมุสลิม ซึ่งไม่เพียงเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าแต่เป็นพันธสัญญาของความเปิดกว้างของศาสนาอิสลามดั้งเดิม การทำลายล้างครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์อีกครั้งว่า ลัทธิหัวรุนแรงละเมิดทุกหลักคำสองทั้งของมุสลิมและศาสนาอื่น


 


ในความเป็นจริง ลัทธิหัวรุนแรงถูกต่อต้านจากชาวมุสลิม ทั้งในจอร์แดน ในประเทศไทยและที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เพราะชาวมุสลิมได้รับการสั่งสอนให้แสวงหาสันติภาพในทุกทาง พระคัมภีร์อัล-กุรอาน บัญญัติไว้ความว่า


 "และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้า(*3*)ก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้น(*4*)ด้วย และจงมอบหมายแต่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้" ( อัลกุอาน 8 : 61)


 


มุสลิมภาคใต้ภายใต้ร่มธงชาติไทย


พระองค์มองว่ามุสลิมควรอยู่ร่วมกับต่างศาสนิกอย่างสันติ ในขณะเดียวกันควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกันเฉกเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน ใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหาและต่อต้านการก่อการร้ายในภาคใต้โดยพระองค์ได้ดำรัสว่า (โดยดำรัสกับผู้เข้าฟังด้วยคำพูดที่เป็นกันโดยใช้คำว่าเพื่อนทั้งหลาย)


 


"ในประเทศไทยชาวมุสลิมมีประวัติอันยาวนานและเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมและสังคมไทย พวกเขาสมควรได้รับสิทธิและได้รับเกียรติเฉกเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน พวกเราทุกคนไม่ควรยอมให้พวกหัวรุนแรงกลุ่มน้อยมาแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน ชาวไทยที่ไม่ใช่มุสลิมควรรับทราบว่า ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ เป็นพลเมืองดีและประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ในขณะเดียวกันก็ขอให้ชาวไทยมุสลิมทุกคนมั่นใจว่าประเทศไทยตระหนักและเห็นคุณค่าของพวกท่านทุกคนที่เป็นพลเมืองดีและมีความตั้งใจแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี


 


เพื่อนทั้งหลาย การตระหนักถึงความคล้ายคลึงกัน โดยตั้งอยู่บนความพื้นฐานความเชื่อมั่นในสันติภาพและความยุติธรรม จะนำมาซึ่งความสมานฉันท์ คุณค่าเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและวางรากฐานให้แก่คนต่างความเชื่อที่จะสร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยความมั่นคงโอกาสและสันติสุขร่วมกัน


 


ดังนั้น ขอให้พวกเราก้าวเข้าไปข้างหน้าร่วมกัน เพื่อสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนของเรา ร่วมขยายความเข้าใจและต่อต้านความไม่ยอมรับผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมและด้วยการเป็นหุ้นส่วนด้วยกัน จะนำมาซึ่งยุคใหม่แห่งความหวัง


ขอขอบใจหรือขอบคุณท่านทั้งหลาย


 


สรุปพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานครครั้งนี้ น่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีในการแก้ปัญหาการก่อการร้ายระดับโลกและทางภาคใต้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุสลิมภาคใต้ที่มาจากองค์กรผู้นำศาสนา สตรีมุสลิม อุสตาซ นักเรียนปอเนาะและประชาชนทั่วไปจะได้ทราบว่าผู้นำโลกมุสลิมที่มีการศึกษาอย่างสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ที่ 2 แห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน คิดอย่างไรต่อโลกและมุสลิม มิเพียงเท่านั้นได้ทราบข่าวว่า บรรดามุสลิม 5 จังหวัดที่มาได้ไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ไม่ว่าไปดูวิถีชีวิตมุสลิมกับต่างศาสนิกว่าเขาสามารถอยู่ร่วมอย่างสันติอย่างไร


 


สุดท้ายขอดุอาอ์ (พร) จากอัลลอฮ ซุบฮานะฮุ วะ ตะอาลาโปรดทรงรวมพลังของพวกเราให้อยู่บนทางนำ และรวมหัวใจของพวกเราอยู่บนความรักฉันท์พี่น้อง และความมุ่งมั่นของพวกเราอยู่บนการงานที่ดีและขอทรงทำให้ วันนี้ของพวกเราดีกว่าเมื่อวาน และให้ พรุ่งนี้ของพวกเราดีกว่าวันนี้ แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงได้ยินและทรงอยู่ใกล้และนำความสงบสุขสู่จังหวัดชายแดนใต้และประเทศชาติทั้งมวลด้วยเทอญ สุขสวัสดีวันตรุษอีดอัฎฮา 1426 (ประมาณ 9-10 มกราคม 2549) อามีน


 


...................................................................................


(*1*) หมายถึงให้ทรงประทานตามที่ให้


(*2*) คือประสงค์จะลงโทษเนื่องจกาพวกเขาดื้อดึงไม่ยอมสำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัว


(*3*) หมายถึงท่านศาสดามุฮัมมัด


(*4*) คือเพื่อการประนีประนอม

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net