พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก และรองผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.)
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2005 12:21น.
ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
หากให้ทหาร ตำรวจ ประเมินสถานการณ์ไฟใต้ในปี 2549 แน่นอนว่าคำตอบสุดท้ายย่อมหนีไม่พ้น "ความสำเร็จจากการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง" ฉะนั้นประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่าคำตอบสุดท้ายดังกล่าว ก็คือเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จในมุมมองของฝ่ายรัฐ
พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก และรองผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) กล่าวว่า ปัจจุบัน กอ.สสส.จชต.กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ 3 ประการในพื้นที่ คือ
1.ทำสงครามทางทหารกับกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% ของประชากร 1.7 ล้านคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
2.ทำงานมวลชนกับประชาชน 1.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 99% ของประชากรใน 3 จังหวัด
และ 3.ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีเป้าหมายคือคน 99% ในพื้นที่ 3 จังหวัด และประชาชนที่อยู่นอกพื้นที่ รวมทั้งประชาคมโลก
ทั้งนี้ หากแปรยุทธศาสตร์ทั้ง 3 ประการ เป็นยุทธวิธีที่ใช้ต่อสู้กับกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งมีลักษณะเป็นสงครามกองโจรนั้น จะพบว่ายุทธวิธีที่นำมาใช้ในการต่อสู้มีอยู่หลายรูปแบบ ประกอบด้วย
1.ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ซึ่งหมายถึงการใช้อำนาจตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพื่อจำกัดเสรีภาพของกลุ่มก่อความไม่สงบ แต่การใช้อำนาจจะต้องโปร่งใสและอธิบายได้ทุกกรณี
2.สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้ หมายถึงการทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าจะได้รับความคุ้มครอง
3.ทำสงครามมวลชน ได้แก่ "การช่วยเหลือ" คือทำให้ประชาชนชอบเจ้าหน้าที่, "การพัฒนา" เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อใจเจ้าหน้าที่ และ "จัดตั้งกองกำลังประชาชน" เพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือเจ้าหน้าที่
4.ทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ในส่วนของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องสร้างความมั่นใจให้ได้ว่า ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิด จะต้องได้รับผลทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน
ระดับต่อมา คือก็ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งประเทศ ว่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องให้บริการประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาค และประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากเจ้าหน้าที่เสมอกัน
และสุดท้ายต้องบอกให้มุสลิมทั่วโลกได้เข้าใจว่า รัฐบาลไทยกำลังทำอะไรกับปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้ดูแลพี่น้องมุสลิมในพื้นที่อย่างไรบ้าง
"ทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีทั้งหมดนี้ จะต้องเดินไปพร้อมกัน เพราะปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นภัยคุกคามทางสังคม ซึ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคง ไม่ใช่ภัยคุกคามทางการทหาร ที่จะใช้กำลังทหาร ตำรวจ จัดการเพียงด้านเดียวได้" พ.อ.อัคร ระบุ
อย่างไรก็ดี เขายอมรับว่า จากการที่ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นภัยคุกคามทางสังคมนี่เอง ที่ทำให้การแก้ไขเป็นไปอย่างยากลำบาก และค่อนข้างยืดเยื้อยาวนาน
"โจรมันหลบอยู่ข้างหลังประชาชนได้ ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ ฉะนั้นภารกิจหลักของ กอ.สสส.จชต. ก็คือต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของประชาชน ให้ประชาชนหันมาเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการทุกคนต้องปรับบทบาท เลิกพฤติกรรมยกตนข่มท่าน เพราะจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินกลยุทธ์ทั้งหมด"
หากพิจารณายุทธศาสตร์ของ กอ.สสส.จชต. ผ่านการบอกเล่าของ พ.อ.อัคร จะพบว่าสิ่งสำคัญที่เขาให้น้ำหนักมากที่สุด คือสงครามมวลชน และสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ นำไปสู่การดำเนินกลยุทธ์ในพื้นที่ เพื่อจำกัดวงของปัญหา และคลี่คลายให้ได้อย่างรวดเร็ว โดยกลยุทธ์ดังกล่าวประกอบด้วย
1.ใช้ปากเป็นปืนเล็ก ด้วยการพูดและทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากๆ โดยจะใช้ปืนจริงๆ กับประชาชนในกรณีเดียว คือเมื่อประชาชนผู้นั้นแปลงร่างเป็นโจร เพราะถ้าใช้ปืนก่อน แล้วเกิดความผิดพลาด จะสร้างความไม่พอใจสูงมาก
"ว่ากันว่าถ้าเรายิงผิดตัว 1 คน จะสร้างความไม่พอใจเพิ่มขึ้นอีก 50 คน เพราะประชาชนในพื้นที่มีเชื้อของความไม่พอใจเจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้ว" พ.อ.อัคร ระบุ
2.ใช้สถานีวิทยุและหนังสือพิมพ์เป็นปืนวิถีโค้ง เพื่อยิงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้ครอบคลุมพื้นที่ให้มากที่สุด
3.ใช้ทีวีเป็นเครื่องบินโจมตี เพื่อขยายขอบเขตการยิงข้อมูลข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้แพร่กระจายในวงกว้างมากขึ้น
และ 4.ใช้รัฐบาลเป็นดั่งพันธมิตร เพื่อกำหนดนโยบายให้สอดรับและเกื้อหนุนกับการดำเนินยุทธศาสตร์ในพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ชี้แจงกับสังคมโลก ให้เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
"ทั้งหมดนี้ เมื่อนำมาผนวกเข้ากับยุทธศาสตร์ที่ท่าน ผบ.ทบ. (พล.อ.สนธิ บุณยรัตนกลิน ผู้บัญชาการทหารบก) เคยประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีของเหมาเจ๋อตุง ได้แก่การเกาะติดพื้นที่ เกาะติดประชาชน และเกาะติดข้าศึก รวมทั้งทฤษฎีปลาแยกน้ำ จึงสามารถนำไปสู่การถอดถอนแกนของกลุ่มก่อความไม่สงบ พร้อมๆ กับการอบรมจัดตั้งประชาชน เพื่อให้กลับมาเป็นแนวร่วมของฝ่ายรัฐ" พ.อ.อัคร สรุป
และเมื่อทุกหน่วยงานภายใต้ กอ.สสส.จชต. ดำเนินทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีดังกล่าวไปพร้อมกันอย่างเป็นเอกภาพและบูรณาการ จึงทำให้ พ.อ.อัคร มั่นใจว่า สถานการณ์ในปีหน้าจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
"ปัญหาที่ยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน เป็นผลพวงมาจากการทำงานที่ไม่มียุทธศาสตร์ในตอนต้น ซึ่งหากดำเนินการเหมือนที่ผ่านมาต่อไป ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราลองผิดลองถูกมา 2 ปีแล้ว เปลี่ยนแม่ทัพไป 3-4 คน แต่ขณะนี้เราผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว และถือว่าผิดเป็นครู จึงได้ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ทั้งหมด"
"ฉะนั้นหลังจากนี้โอกาสของความผิดพลาดจะน้อยลง ทุกคนเข้าใจวิธีปฏิบัติ ไม่มีอีกแล้วสายเหยี่ยว สายพิราบ แต่ทุกยุทธศาสตร์และยุทธวิธีจะต้องเดินไปพร้อมกัน"
พ.อ.อัคร บอกด้วยว่า จริงๆ แล้วตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายหลายเรื่องก็ส่งผลดี และมาออกดอกออกผลในช่วงนี้ เมื่อผนวกกับการวางยุทธศาสตร์ใหม่ที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะการสอบสวนผู้ต้องสงสัยของฝ่ายตำรวจ นำโดย พล.ต.ท.
"เมื่อก่อนเราเดินเข้าบ้านไม่ได้เลย แต่ตอนนี้เราเจอกุญแจแล้ว และเข้าบ้านได้แล้ว" เขากล่าวเปรียบเทียบ และว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่เข้าถึงตัวแกนนำได้ทั้งหมด เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอที่จะจับกุมเท่านั้นเอง
ส่วนปัญหาเรื่องการอุ้มฆ่า อุ้มหาย ซึ่งถูกตั้งคำถามมาตลอดนั้น พ.อ.อัคร กล่าวว่า ด้วยภาพลักษณ์และวิธีการทำงานของ พล.ต.ท.อดุลย์ ย่อมสร้างความมั่นใจได้ว่า ขณะนี้ไม่มีพฤติการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
"สิ่งที่เราจะต้องเร่งดำเนินการในขั้นต่อไป ก็คือการสร้างภูมิต้านทาน ด้วยการเปิดเวทีให้ประชาชนได้พูด ได้แสดงความคิดเห็น รวมทั้งมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหามากขึ้น และหลังจากนั้นแม้จะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอีกบ้าง แต่ผู้ที่ถูกตำหนิจะกลายเป็นฝ่ายผู้ก่อการ เพราะประชาชนอยู่ข้างเราแล้ว" พ.อ.อัคร กล่าวในที่สุด