ตามที่รัฐบาลไทยได้ดำเนินการให้มีการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยขณะนี้กำลังจะมีการเจรจาในรอบที่ 6 ระหว่าง วันที่ 9-13 มกราคม 2549 ที่ จ.เชียงใหม่ และจะสรุปผลการเจรจาภายในระยะเวลาภายในกลางปีนี้นั้น เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายองค์กรภาคประชาชน 10 องค์กร เห็นว่าข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดเสรีการบริการและลงทุนและการเปิดตลาดสินค้าเกษตรนั้นจะสร้างผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ ในด้านสาธารณสุขจะทำให้ผู้ป่วยและผู้บริโภคต้องซื้อยาในราคาแพง ประชาชนที่ยากจนไม่สามารถเข้าถึงยา ทำให้เกิดการผูกขาดเมล็ดพันธุ์และ ทรัพยากรชีวภาพ เกษตรกรนับล้านครอบครัวต้องสูญเสียอาชีพ และทำให้ประชาชนต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับ ความจำเป็นพื้นฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหายาราคาแพงจากการการผูกขาดหรือเนื่องจากระบบทรัพย์สินทางปัญญา ระบบสิทธิบัตร เป็นปัญหาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนที่จำเป็นต้องได้ยาเพื่อการรักษาโดยเฉพาะโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น ยารักษามะเร็ง โรคหัวใจ รวมทั้งยาสำหรับรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์
ในการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐอเมริกา ได้มีการหยิบยกเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรยาขึ้นมาเจรจา จากการติดตามกรอบการเจรจาของสหรัฐอเมริกากับประเทศอื่นๆ เช่นสิงคโปร์ หรือออสเตรเลีย พบว่าได้มีการยื่นข้อเสนอให้ประเทศเหล่านั้นปรับแก้กฎหมายสิทธิบัตรยาในประเทศ ซึ่งจะมีผลให้การถือครองสิทธิบัตรยามีระยะเวลายาวนานขึ้นจาก 20 ปี เป็น 25 ปี ซึ่งหมายถึงการผูกขาดการตลาดของบริษัทยาเพียงเจ้าเดียว ส่งผลให้เกิดการผูกขาดราคายาทำให้ราคายาแพงขึ้น เนื่องจากไม่สามารถควบคุมราคายาที่บริษัทเหล่านั้นตั้งขึ้นมาได้
ในนามเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย และเครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ ขอยืนยันว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพ และระบบสุขภาพที่ดีจะเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าประเทศของเราไม่สามารถพึ่งตนเองได้ในการผลิตยาภายในประเทศ โดยมีข้อเสนอต่อรัฐบาลไทยดังนี้
1. ให้นำเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาออกจากการเจรจาในระดับพหุพาคี และทวิภาคี
2. ให้ เร่งรีบดำเนินการใช้ มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคเช่น การใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิ ตาม พรบ.สิทธิบัตร เพื่อผลิตยาจำเป็นที่มีสิทธิบัตร และนำเข้าซ้อนกับยาที่ไม่สามารถผลิตได้เอง เพื่อนำมาแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข เช่นยาต้านไวรัสเอดส์ ยากลุ่มรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น
3. ให้มีกลไกควบคุม ดูแลคุณภาพและราคายาที่เป็นอิสระ
4. ให้รวมระบบการดูแลรักษาสุขภาพ ของประชาชนต่างๆ ในทุกระบบสวัสดิการของรัฐ ให้เป็นกองทุนสุขภาพเดียว เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยา และขยายระบบสิทธิประโยชน์ที่เท่าเทียมและเป็นธรรม สำหรับประชาชนทุกคน
5. สนับสนุนให้หน่วยงานที่ทำงานด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นอิสระ และมีความสามารถในการคิดค้นและผลิตยาใหม่ที่จำเป็นเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปสู่การพึ่งตนเองในการผลิตยาของประเทศ
เพื่อความสมานฉันท์และสนับสนุนการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทยและองค์กรพันธมิตร อยากเชิญชวนเพื่อนนักเคลื่อนไหวเพื่อการเข้าถึงการรักษาทั่วโลก ร่วมแสดงพลังโดยการส่งจดหมายแถลงการณ์ฉบับนี้ไปถึงสถานทูตไทยในแต่ละประเทศ รวมทั้งไปร่วมประท้วงหน้าสถานทูตไทยในแต่ละประเทศพร้อมกันในวันที่ 9 มกราคม 2549
ด้วยความสมานฉันท์
เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย
เครือข่ายองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ประเทศไทย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)