แถลงการณ์สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
แฉ ข้อเท็จจริงเรื่องขึ้นค่าไฟฟ้า ผลจากการแปรรูปกฟผ
เห็นผลทันตา จากการแปรรูปกฟผ. รัฐบาลเตรียมโขกค่าไฟเพิ่ม 32 สตางค์ ต่อหน่วย
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 มากที่สุดในรอบ10 กว่าปีที่ผ่านมา
4 เหตุผลในการขึ้นค่าไฟ
· โปะค่าใช้จ่ายแปรรูปกฟผ.ไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท
· ประกันกำไรให้นักลงทุน 8.39% เพื่อการแปรรูปกฟผ.
· ปตท.แปรรูปแล้วขูดรีดค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟจากประชาชน ไปปรนเปรอให้กลุ่มทุน
· ระบบอามิสสินจ้าง หรือผลประโยชน์ทับซ้อนกับข้าราชการ ที่มีผลต่อกระบวนการกำหนดค่าไฟ
จากการออกมาให้ข่าวจากกระทรวงพลังงานและบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)ในขณะนี้ ว่าจะมีการขึ้นค่าไฟในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ถึงประมาณ 32 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการโยนหินถามทางเพื่อให้เกิดการยอมรับสภาพการถูกเก็บค่าไฟแพงขึ้นล่วงหน้าของผู้บริโภคนั้น
สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค(สอบ.) เห็นว่า ข้ออ้างเรื่องค่าเชื้อเพลิงคือราคาของก๊าซธรรมชาติที่จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 192 บาทต่อล้านบีทียู จากเดิม 160 บาทต่อล้านบีทียู และการใช้น้ำมันเตาที่ราคาแพงนั้น ไม่ใช่ข้ออ้างที่ชอบธรรมและนำมาหลอกลวงผู้บริโภคได้
เนื่องจากเหตุผลหลักในการขึ้นค่าไฟครั้งนี้เป็นเพราะ 1. ภาระค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพและแปรรูป กฟผ. เป็นบริษัทจำกัดมหาชน 2. ผลการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ มาเป็น ROIC และ 3.ผลจากการแปรรูปปตท. ซึ่งส่งผลต่อการขูดรีดผู้บริโภค ในรูปค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายเป็นค่าก๊าซและน้ำมันให้ปตท4. ระบบอามิสสินจ้าง หรือผลประโยชน์ทับซ้อนกับข้าราชการ ที่มีผลต่อกระบวนการกำหนดค่าไฟ
.
ทั้งนี้ 1. ภาระค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพและแปรรูปกฟผ. เป็นบริษัทจำกัดมหาชนนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลจากการ ข้อมูลฐานะการเงินปี พ.ศ. 2544 - 2551 มกราคม 2547, หน้า 11 เอกสารของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, และ เอกสารสัญญาจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ สัญญาที่ 46C 80005 ระหว่าง บมจ. กฟผ. และบริษัม สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548 รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลจาก หนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญ บมจ. กฟผ. ) พบว่าอย่างน้อยที่สุดการแปลงสภาพและแปรรูปของกฟผ. ทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องตกเป็นค่าไฟเรียกเก็บกับผู้บริโภค อย่างน้อยที่สุดประมาณ 25,759 ล้านบาท (รายละเอียดตามกรอบแนบท้าย)
2. ผลการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การกำหนดค่าไฟฟ้า จากเดิมก่อนแปลงสภาพกฟผ. เคยใช้หลักเกณฑ์ด้านกระแสเงินเป็นหลัก คือ อัตราส่วนการลงทุนจากเงินรายได้ อัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน แต่ในการเตรียมการแปรรูปและการกระจายหุ้น บมจ. กฟผ. ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดค่าไฟฟ้าฐานเพื่อดึงดูดนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยกำหนดให้ กฟผ. มีผลตอบแทนจากเงินลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC) หรือประกันกำไรให้นักลงทุน ในระดับ 8-9% ในช่วงปี 2549 -2551 ซึ่งมีผลให้ในปัจจุบันกฟผ.ต้องมีROIC หรือผลตอบแทนการเงินลงทุนอยู่ที่ 8.39% ซึ่งหมายความว่าการลงทุนทุก 100 บาท ต้องได้กำไรแน่นอนไม่น้อยกว่า 8.39 บาท ในขณะที่เปรียบเทียบเกณฑ์ส่วนใหญ่ทั่วโลกจะอยู่ที่ประมาณ 4.2% เท่านั้น
ซึ่งในการศึกษาโครงสร้างค่าไฟฟ้าในครั้งนี้ไม่เคยมีการเผยแพร่ผลการศึกษาหรือจัดสัมมนาเพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจนได้มีการตัดสินโดยคณะรัฐมนตรีจึงได้มีการเผยแพร่รายละเอียด ผลของการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์โครงสร้างค่าไฟฟ้าโดยการยกเลิกแบบเดิมมาเป็น ROIC นั้น ทำให้ต้องขึ้นค่าไฟ สูงกว่าการใช้หลักเกณฑ์เดิม เพราะต้องประกันผลกำไรจากการลงทุน
3. ผลจากการแปรรูปปตท. แล้วมาขูดรีดค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้ากับผู้บริโภค นำกำไรไปปรนเปรอให้นักลงทุนและกรรมการบอรด์ที่เป็นข้าราชการ เกือบ 50% ของผลกำไรทั้งหมด ซึ่งในปี 2548 ปตท.มีผลกำไร 90,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าปตท.ยังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่กำไรเกือบ 50% ที่ต้องไปให้นักลงทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม แต่ถ้านำกำไรส่วนนั้นมาลดค่าก๊าซ ค่าน้ำมัน ให้กับการผลิตไฟฟ้าให้ผู้บริโภคทั้งประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นค่าเอฟที หรือขึ้นค่าไฟอีกแต่อย่างใด
แต่เนื่องจากการแปรรูปปตท.ที่ผ่านมา เป็นการนำผลประโยชน์ด้านเชื้อเพลิงของชาติไปผูกขาดทำผลประโยชน์และกำไรมหาศาลให้กับกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม ทั้งยังไม่มีการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค และประชาชนแต่อย่างใด การขึ้นราคาก๊าซ ของปตท.จึงเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะเป็นกิจการผูกขาดที่ประชาชนทุกคนต้องใช้และจ่าย
4. นอกจากนั้นผลประโยชน์มหาศาลที่ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงและสำนักต่างๆ โดยเฉพาะในกระทรวงและสำนักที่เกี่ยวกับด้านพลังงาน ได้จากการเป็นคณะกรรมการบอร์ดปตท.และธุรกิจพลังงานต่างๆ เช่น บางคนได้เงินเดือนข้าราชการ รวมค่าตำแหน่งและ ค่ารถ ปีละ 1 ล้าน 2 แสนบาท แต่ ค่าตอบแทนในการเป็นบอร์ดในธุรกิจพลังงาน ปีละ เกือบ 6 ล้านบาท หรือมากกว่ากันเกือบ 5 เท่า ก็กลายเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน ที่มีผลกระทบการรักษาผลประโยชน์เพื่อประชาชนผู้บริโภคหรือเพื่อรักษาผลกำไรของธุรกิจพลังงาน และส่งผลต่อการขึ้นค่าไฟฟ้ากับประชาชนผู้บริโภค
นางสาวสายรุ้ง ทองปลอน
ผู้จัดการสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค
· ในการแปลงสภาพ และแปรรูป กฟผ. มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องมากมาย ดังนี้
ล้านบาท | |
1. ค่าบริการของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน | 1,174 ล้านบาท |
2. เงินเดือน และผลตอบแทนของพนักงาน และคณะกรรมการ บมจ. กฟผ. ที่เพิ่มขึ้นจากการแปลงสภาพเป็นบริษัท (ยอดรวมเฉพาะ 5 ปีแรก) | 12,126 ล้านบาท |
3. ค่าใช้จ่ายในการเกษียณพนักงานก่อนกำหนดก่อนการแปลงสภาพเป็นบริษัท | 4,000 ล้านบาท |
4. ค่าประชาสัมพันธ์ ซื้อสื่อโฆษณาต่าง ๆ | > 44 ล้านบาท |
5. ผลประโยชน์หุ้นของพนักงาน กฟผ. (ณ ราคาหุ้น 26.5 บาท/หุ้น) | 8,415 ล้านบาท |
6. อื่น ๆ (ค่าจ้างที่ปรึกษาทางกฎหมาย ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน ค่าทำสัญญาต่าง ๆ เช่น สัญญาเช่าเขื่อน เช่าที่ดินกรมธนารักษ์ ฯลฯ) | ? ล้านบาท |
รวม | > 25,759 ล้านบาท |
(อ้างอิง: 1 -3 จาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, "ข้อมูลฐานะการเงินปี พ.ศ. 2544 -
2551" มกราคม 2547, หน้า 11 (เอกสารแนบ 9)
- จาก สัญญาจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ สัญญาที่ 46C 80005 ระหว่าง
บมจ. กฟผ. และบริษัม สปา แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2548
(เอกสารแนบ 10)
- จาก หนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญ บมจ. กฟผ. )
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)