ภาพจาก http://talk.sanook.com/hot/hot_04599.php
ประชาไท-13 ม.ค. 49 เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ศาลอาญา กรุงเทพฯ ผู้พิพากษาขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีที่ อัยการสูงสุด และโจทย์ร่วม ได้แก่ อังคณา นีละไพจิตร ภรรยานาย
โดยการพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของสังคม โดยมีผู้เข้าร่วมฟังการอ่านคำพิพากษากว่า 300 คน ทั้งนี้ ศาลมีคำพิพากษา ตัดสินให้ พ.ต.ท.เงิน ทองสุข จำเลยที่ 1 มีความผิดจริงตามมาตรา 309 วรรคแรก คือทำร้ายผู้อื่นแต่ไม่ถึงขั้นอันตราย โดยสั่งลงโทษสถานหนักที่สุดในมาตราดังกล่าวให้จำคุก 3 ปี
ส่วน พ.ต.ท.สินชัย นิ่มปุญญกำพงษ์ จำเลยที่ 2 จ.ส.ต.ชัยแวง พาด้วง จำเลยที่ 3 ส.ต.อ.รันดร สิทธิเขต จำเลยที่ 4 และ พ.ต.ท.ชัดชัย เลี่ยมสงวน จำเลยที่ 5 ศาลมีคำตัดสินให้ยกฟ้อง
การพิจารณาความครั้งนี้ฝ่ายโจทย์มีหลักฐานสำคัญในการชี้ความผิดเป็นบันทึกการใช้โทรศัพท์ของจำเลยทั้ง 5 คน และพิกัดตำแหน่งการโทร ซึ่งมีพิรุธว่าการใช้โทรศัพท์ดังกล่าวมีลักษณะการติดตามนายสมชาย ตลอดวันที่ 12 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่หายตัวไป และมีหลักฐานพิกัดตำแหน่งของจำเลยทั้ง 5 คนอยู่บริเวณหน้าร้านอาหารแม่ลาปลาเผา ถนนรามคำแหงซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่มีพยานเห็นนายสมชาย ถูกพาตัวขึ้นรถหายไปอย่างไม่กลับมา นอกจากนี้ ฝ่ายโจทย์ยังมีพยานที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ตอนนั้นมาให้การกับศาลด้วย
ทั้งนี้ หลังศาลพิจารณาพยานหลักฐานและพยานต่างๆแล้วระบุว่าหลักฐานการใช้โทรศัพท์และพิกัดไม่สามารถเอาผิดจำเลยได้เพราะหลักฐานดังกล่าวไม่ใช่ต้นฉบับไม่มีความน่าเชื่อถือรวมทั้ง ไม่มีผู้เชี่ยวชาญมาเป็นพยานอธิบายข้อสงสัยของทนายจำเลย และถึงน่าเชื่อถือหลักฐานดังกล่าวก็มีน้ำหนักเพียงการบอกว่าบุคคลดังกล่าวอยู่บริเวณนั้นเท่านั้นไม่สามารถบอกได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง
นอกจากนี้ พยานโจทย์ไม่สามารถระบุได้ว่าจำเลยที่ 2-4 กระทำการหรือไม่ จึงให้การสับสนไม่ตรงกัน บางปากกลับคำให้การ ศาลจึงตัดสินยกฟ้อง
แต่สำหรับจำเลยที่ 1 พยานโจทย์ให้การซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ให้การตรงกันว่าเป็นผู้ผลักนายสมชายขึ้นรถ รวมทั้งชี้ตัวตรงกันในการให้การ แม้บางคนจะกลับคำให้การภายหลังในชั้นพิจารณาคดีก็ตามว่าจำลักษณะไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติเพราะเวลาล่วงมากว่า 1 ปี แล้ว ณ ขณะนั้น จึงทำให้ศาลเชื่อว่า จำเลยที่ 1 พวก ข่มขืนใจนายสมชาย โดยใช้กำลัง และให้พรรคพวกขับรถของนายสมชายไปจอดที่อื่นแสดงว่าไม่ประสงค์ชิงทรัพย์แต่มีเจตนาขับรถไปจอดที่อื่นเพื่อเลี่ยงเรื่องราวบางอย่าง
และการที่นำตัวนายสมชายไปโดยมีทรัพย์สินติดตัวไม่ว่าจะเป็น ปากกาม็องบลังค์ ราคา 7,000 บาท นาฬิกาข้อมือ ราคา 277,550 บาท โทรศัพท์มือถือ ราคา 18,900 บาท ไปด้วยก็ไม่ถือว่าเป็นการลักทรัพย์ตามที่โจทย์ฟ้องฐานปล้นทรัพย์ แต่ก็ผิดฐานทำร้ายร่างกาย แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่าได้รับอันตรายถึงขั้นไหนและไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่จึงสั่งลงโทษได้เพียงการจำคุก 3 ปี ดังกล่าว
นางอังคณา กล่าวเปิดเผยความรู้สึกภายหลังการรับทราบการอ่านคำพิพากษาว่า ยังไม่พอใจกับผลการพิพากษานักเพราะว่ามีการตัดสินแล้วว่ามีการทำให้นายสมชายหายไปจริง แต่ไม่รู้ว่าอีก 3-4 คนที่ร่วมกระทำการคือใคร อยู่ที่ไหน และนายสมชายอยู่ที่ไหน มีสภาพอย่างไร ตรงนี้ต้องมีคำตอบ เพราะไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามไม่ควรถูกทำให้หายไปโดยปราศจากการค้นหาและรับผิดชอบจากผู้นำประเทศ
นางอังคณายังยืนยันอีกว่าจะทวงถามความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด ทางเดียวที่คงทำได้คือสู้ด้วยสันติวิธีร่วมกับภาคประชาชนทั้งในละต่างประเทศ
"คิดว่าสังคมควรต้องกดดันและทวงถามกองปราบฯ เพราะเมื่อศาลพิพากษาจำเลยที่ 1 ว่าเอาตัวคุณสมชายขึ้นรถไป แต่ไม่มีการขยายผลเพิ่มเติมหลักฐานที่ได้ก็ค่อนข้างอ่อน ไม่ทราบว่าเป็นความจงใจของพนักงานสอบสวนหรือไม่" นางอังคณา กล่าว
ในการพิพากษาคดีครั้งนี้ กลุ่มมุสลิมรักความเป็นธรรมกว่า 10 คน ซึ่งส่วนมากเป็นนักศึกษามาร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจกับครอบครัวของนายสมชาย รวมทั้งมีการรณรงค์ด้วยการชูป้ายผ้าทั้งหน้าห้องพิพากษาและหน้าศาลอาญา โดยป้ายผ้ามีข้อความประมาณ ว่า "การหายไปของทนายสมชายคือการหายไปของกระบวนการยุติธรรม" "เลือดของทนายสมชายไร้ค่าในสายตานายกฯ" "ใครทำอะไรกับทนายสมชาย มุสลิมทั่วโลกจะไม่ลืมเป็นต้น"
นอกจากนี้ยังมีการกู่ร้องตะโกนคำว่า "อัลลอฮุ อักบัร " ซึ่งแปลว่าพระเจ้าเกรียงไกรยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งตัวแทนกลุ่มระบุว่าที่มาในวันนี้เป็นมาเฉพาะกิจมาเพื่อให้กำลังใจครอบครัวทนายสมชายโดยเฉพาะ