นางชุลีพร ให้เหตุผลว่า การที่รัฐบาลยุบเลิกร.ส.พ.โดยอ้างว่า มีการทุจริตนั้นไม่เป็นความจริง เพราะ ผู้บริหารที่เข้ามาดูแลร.ส.พ.ก็ได้รับแต่งตั้งจากฝ่ายการเมือง หากมีการทุจริตเกิดขึ้นฝ่ายการเมืองก็ย่อมสามารถมาดำเนินการตรวจสอบหาคนผิดได้ ส่วนที่อ้างว่าขาดทุน ดูผลประกอบการของร.ส.พ. จนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 48 มีรายได้ประมาณ 1280 ล้านบาท มีหนี้สินประมาณ 1240 ล้านบาท เท่ากับกิจการยังมีสภาพคล่องอยู่ ไม่ได้เลวร้ายและสามารถฟื้นฟูกิจการได้

นางชุลีพร ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่าการยุบเลิกร.ส.พ.อาจจะเป็นไปเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจขนส่งที่ใกล้ชิดกับนักการเมืองในรัฐบาล เพราะจะเห็นได้ว่าทันทีที่มีมติยุบเลิกร.ส.พ. ก็มีบริษัทเอกชนรายหนึ่งซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง 2 ล้านบาทเข้ารับงานขนส่งของส่วนราชการโดยเฉพาะ 3 หน่วยงานหลักที่ถือว่าเคยเป็นรายได้หลักของร.ส.พ. คือ โรงงานยาสูบ การท่าเรือแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลจริงใจที่จะดูแลกิจการ ร.ส.พ.ก็ควรให้นายปองพล อดิเรกสาร ที่อดีตเคยบริหาร ร.ส.พ.จนมีกำไร มีโบนัสให้กับพนักงานได้เข้ามาบริหารและฟื้นฟูกิจการของร.ส.พ. โดยที่ผ่านมาสหภาพฯได้นำแผนฟื้นฟูไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา ซึ่งก็เห็นชอบที่จะให้มีการฟื้นฟู แต่การเสนอในระดับรัฐบาล นายกและรัฐมนตรีกลับไม่เห็นด้วย รวมทั้งไม่เคยเรียกสหภาพฯไปสอบถามความคิดเห็นเลย