ประชาไท - 19 ม.ค.48 หลังจากมีกระแสข่าวว่านาย
โดยสื่อมวลชนรายงานการคาดหมายว่าผู้จะมารับหน้าที่แทนอาจเป็น นาย
ด้านพ.ต.ท.
ขณะที่นาย
ส่วนนาย
เมื่อถามว่านายนิตย์ได้แจ้งความไม่สบายใจและการลาออกให้ทราบหรือไม่ นายกันตธีร์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ต้องดูต่อไป อย่างไรก็ตาม หากนายนิตย์ลาออกจากการทำหน้าที่ดังกล่าวจริง เชื่อว่าไม่กระทบต่อการเจรจา เพราะมีคณะผู้แทนทำงานอยู่
ขณะที่นาย
กล่าวว่า จากที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้มารับตำแหน่งดูแลด้านประชุมนานาชาติทางการค้า ลงทุน และเศรษฐกิจทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ขณะนี้ได้วางแผนการดำเนินงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และพร้อมนำเสนอต่อ พ.ต.ท.
นายปานปรีย์ กล่าวถึงกรณีข่าวว่าอาจจะได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐ หากนายนิตย์ ลาออกจากตำแหน่ง ว่า เรื่องนี้ ยังไม่ทราบว่านายนิตย์จะลาออกหรือไม่ ที่สำคัญตนเองก็ไม่ได้รับทาบทาม แต่หากได้รับทาบทามจริงก็คงไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ เพราะในขณะนี้มีงานอื่นๆ เป็นจำนวนมาก และที่สำคัญตำแหน่งหัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอ ต้องเป็นบุคคลที่มีเวลาเต็มที่สำหรับการทำงาน ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถมีประสบการณ์ ซึ่งนายนิตย์เป็นบุคคลที่เหมาะสม อดีตเคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน เป็นอดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ มีความรู้การเจรจาระหว่างประเทศเป็นอย่างดี
ก่อนหน้าที่เมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา รมว.การต่างประเทศ ได้นำคณะส.ส.สหรัฐ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ประกอบด้วย นาย
โดยนายกรัฐมนตีเชื่อว่า จะสามารถบรรลุความสำเร็จและสามารถลงนามตามเวลาที่กำหนดไว้ โดยจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนของทั้งสองประเทศเป็นที่ตั้ง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกลุ่มผู้คัดค้านเอฟทีเอไทย-สหรัฐ นาย
"หากนายนิตย์ลาออกจากหัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอจริง ๆ คิดว่า จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ การเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่า ปัญหาแรงกดดันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้นายนิตย์ต้องหันมาทำการเจราจากับทีมเจรจาในฝ่ายไทยเอง เพราะเกิดร้อยร้าวจากความเห็นและจุดยืนที่แตกต่าง ระหว่างกระทรวงต่างประเทศ กับ กระทรวงสาธารณ สุข กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงตามการเสนอของสหรัฐ และน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญใน การตัดสินใจลาออก คงไม่ใช่น้อยใจจากการถูกเผาหุ่นและกระแสคัดค้านของกลุ่มผู้ ชุมนุม" นายวิฑูรย์กล่าวและว่า 3 เดือนต่อจากนี้ ก่อนที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเร่งเจรจาให้จบ จะเป็นช่วงที่ภาคประชาชนเตรียมเคลื่อนไหวใหญ่กว่าที่เชียงใหม่ และใหญ่กว่าทุกๆ ครั้ง
นอกจากนี้กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการลาออกจากหัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหรัฐ ของนาย
อย่างไรก็ตาม นายนิตย์ พิบูลสงครามเองอาจต้องมีส่วนในการรับผิดชอบในการเจรจาที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน คือ การที่นายนิตย์และทีมเจรจาของกระทรวงต่างประเทศได้พยายามกดดันคณะเจรจากลุ่มอื่นๆให้ยินยอมหรืออ่อนข้อให้กับสหรัฐฯเพื่อให้การเจรจาเดินหน้าต่อไป ทั้งๆที่จุดยืนนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเท่ากับเจรจาและกดดันฝ่ายเดียวกันเอง แทนที่จะใช้พลังในการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ
ขณะที่หัวหน้าคณะเจรจาฯ คนต่อไปก็เชื่อว่า จะต้องมาจากฝ่ายการเมืองอย่างแน่นอน เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้นำที่ต้องการเร่งการเจรจาให้เร็วที่สุด และสามารถควบคุมคณะเจรจาได้อย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่ง หัวหน้าคณะเจรจาฯคนต่อไปจะต้องรับภาระหนักอึ้งยิ่งกว่านาย
"เราได้ข้อสรุปที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า การตัดสินใจทั้งหมดมาจากผู้นำรัฐบาลเป็นสำคัญ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับคณะเจรจาตามที่นายกรัฐมนตรีเคยอ้างแต่อย่างใด ดังนั้น การเคลื่อนไหวในครั้งต่อไป ชื่อที่ติดอยู่บนโลงศพที่จะถูกเผา จะไม่ใช่ชื่อหัวหน้าคณะเจรจาฯอีกต่อไป แต่จะเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลแทน"แถลงการณ์ระบุ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)