เมื่อเร็วๆ นี้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ฟ้องร้องเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค องค์กรปฏิรูปสื่อ องค์กรประชาธิปไตย เครือข่ายผู้หญิง สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยในข้อหาหมิ่นประมาท กรณีออกแถลงการณ์ประณามการดำเนินการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรีที่ละเลยต่อการปรับผังรายการของไอทีวีอย่างมีเงื่อนงำจนทำให้กลายเป็นสื่อบันเทิงล้นจอ
กลุ่มผู้ถูกฟ้องทั้งหมด 12 รายจะต้องไปให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิตในวันที่ 24 มกราคม 2549 นี้
แถลงการณ์ที่เป็นต้นเหตุถูกฟ้องหมิ่นประมาทครั้งนี้ออกเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2547 มีใจความสำคัญคือ เรียกร้องให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินการต่อ ไอทีวี ที่ปรับผังรายการ เพราะเป็นการกระทำที่ละเมิดสัญญาสัมปทาน
ผู้ถูกสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรีฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทล้วนเป็นผู้มีบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอยู่นอกรัฐสภาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เครือข่ายองค์กรผู้บริโภค องค์กรปฏิรูปสื่อ
อะไรเกิดขึ้นที่ไอทีวี
"ไอทีวี" เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีรากฐานการก่อตั้งจากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 เพื่อให้เกิดทีวีเสรีไม่ขึ้นกับหน่วยงานรัฐ และเน้นการเสนอข้อมูลสาระมากกว่ารายการบันเทิง พร้อมกำหนดให้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายมีหุ้นได้ไม่เกิน 10 % และมีสัดส่วนนำเสนอรายการสารประโยชน์ 70% รายการบันเทิง 30%
แรกเริ่ม บริษัทสยามอินโฟเทนเมนท์ จำกัด ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไอทีวี มหาชน จำกัด ชนะการประมูลการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เสรี ด้วยการให้ผลตอบแทนแก่รัฐสูงกว่าผู้แข่งขันรายอื่นถึง 10 เท่า คือ 25,600 ล้านบาทตลอดระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ต่อมาทำสัญญากับสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2538 เงื่อนไขหนึ่งในสัญญาระบุว่า
"หากหน่วยงานรัฐให้สัมปทาน หรือทำสัญญาใดๆกับบุคคลอื่นเข้าดำเนินกิจการให้บริการส่งวิทยุโทรทัศน์ โดยมีโฆษณา หรืออนุญาตให้โทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกทำการโฆษณาได้ และเป็นเหตุให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของผู้เข้าร่วมงานอย่างรุนแรง เมื่อผู้เข้าร่วมงานร้องขอ สำนักงานจะพิจารณาและเจรจากับผู้ร่วมงานโดยเร็ว เพื่อหามาตการชดเชยความเสียหาย"
เงื่อนไขนี้เป็นต้นเหตุให้ไอทีวีเรียกร้องให้มีการแก้ไขสัมปทานเมื่อวันที่ 12 พ.ย.42 พร้อมอ้างเหตุผลได้แก่
กรมประชาสัมพันธ์ให้สัมปทานบริษัทไทยสตาร์ทีวี จำกัด ต่อมาเปลี่ยนเป็น เวิล์ดสตาร์ทีวี ดำเนินการโทรทัศน์บอกรับสมาชิกที่มีโฆษณาได้ สัญญาเริ่ม 30 พ.ค. 2539
กองทัพบกทำสัญญาสัมปทานใหม่กับสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 ในปี 2541 จ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำตลอดระยะเวลาสัมปทานเพียง 4,670 ล้านบาท
สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ได้รับอนุญาติให้มีโฆษณา
ยูบีซีเคเบิลทีวี มีโฆษณาแฝง
รัฐธรรมนูญระบุให้รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี อาศัยกลไกตลาดให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
การแก้ไขสัมปทาน เริ่มตั้งแต่รัฐบาลนาย
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ลงทุนในไอทีวี ไอทีวีส่งหนังสือทวงถามสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้มีการแก้ไขสัญญาหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ กระทั่งเดือน ม.ค. 2546 ไอทีวียื่นเรื่องต่ออนุญาโตตุลาการ และได้รับคำตัดสินในวันที่ 30 ม.ค.2547
ผลการตัดสินปรากฎว่า
1.ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีชดเชยความเสียหาย โดยชำระเงินคืนแก่ไอทีวี 20 ล้านบาท
2.ให้เปลี่ยนผลประโยชน์ตอบแทน โดยจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำปีละ 230 ล้านบาท หรือ 6.5 % ของรายได้ โดยถือเอาจำนวนที่มากกว่าเป็นหลัก และมีผลย้อนหลังไปถึง 3 ก.ค.2545 ทำให้มีผลส่งรายได้ให้รัฐขั้นต่ำ 7,790 ล้านบาท จากรายได้เดิม 25,600 ล้านบาท
3.ให้สำนักงานปลัดฯจ่ายเงินผลประโยชน์ตอบแทนสำหรับงวดปี 2546 ที่ไอทีวีชำระไว้คืนแก่ไอทีวี
4.ให้ไอทีวีสามารถเผยแพร่ภาพโดยไม่ถูกจำกัดเฉพาะรายการข่าว สารคดี และสารประโยชน์ ในช่วง 19.00-21.30 น. และต้องนำเสนอข่าว สารคดี และสารประโยชน์ไม่น้อยกว่า 50 % ของเวลาออกอากาศทั้งหมด ทำให้มีการปรับเนื้อหาสารประโยชน์จาก 70% เหลือ 30% ทั้งที่รายการประเภทสารประโยชน์ได้รับความนิยมระดับต้นๆ
เมื่อกลุ่มชินคอร์ปเข้ามาลงทุนในไอทีวี จึงยากที่จะเลี่ยงประเด็น "ผลประโยชน์ทับซ้อน"แม้ว่านายกทักษิณจะออกอากาศทางวิทยุผ่านรายการ" นายกทักษิณ คุยกับประชาชน" ในวันที่ 7 ก.พ. 2547ว่า " มอบหมายให้ผู้ปฏิบัติทุกคนทำอย่างตรงไปตรงมา พี่น้องประชาชนคนไทยไม่ต้องห่วง ผมไม่มีนิสัยตะกละตะกลามเด็ดขาดนะครับ"
แต่คำพูดของนายกฯสวนทางกับคำพูดของนาย
"ผมกล้าเสี่ยงเพราะลงทุนในไอทีวีที่มีขนาดธุรกิจเพียง 3,000 ล้านบาท เทียบกับเงินลงทุนในเอไอเอส แต่ละปี 50,000 ล้านบาท ถือว่าน้อย"
ภายหลังที่ไอทีวี ชนะคดี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ดำเนินการฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครอง และฟ้องไอทีวี กรณีปรับผังรายการ แต่กลับใช้แนวทางเจรจาประนีประนอมในการชดใช้ค่าเสียหาย ตามที่กระทรวงการคลังมีความเห็น
ด้านกลุ่มชินคอร์ปดึงกลุ่มทุนกันตนา และนายไตรภพ ลิมปพัทธ์เข้ามาบริหาร และปรับผังรายการดังปรากฎอยู่ทุกวันนี้
ภายหลัง "ไอทีวีเปิดเสรีใหม่" ปรากฎผลประกอบการตามที่หนังสือพิมพ์ระบุคำสัมภาษณ์ของ นาย
จากความนิ่งเฉยของรัฐบาล ทำให้ประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนยิ่งเด่นชัดมากขึ้น จนทำให้กลุ่มการเมืองภาคประชาชนออกแถลงการณ์ประณามสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมกับเรียกร้องให้สำนักปลัดฯดำเนินการฟ้องศาลพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชน
วันนี้ บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) เติบโตขึ้นมาก จากธุรกิจที่มีขนาดเพียง 3,000 ล้านบาท ขณะนี้มีมูลค่ารวมในตลาดหลักทรัพย์สูงถึง 14,114.66 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 20 ม.ค.2549) อะไรทำให้ไอทีวีเติบโตขนาดนี้
รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้จากสัญญาไอทีวีจำนวน 17,810 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 774.35 ล้านบาท ของช่วงอายุสัญญาที่เหลืออยู่ 23 ปี และเงินจำนวนนี้ที่จะไหลไปเป็นงบประมาณของประเทศ ที่จะต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของคนไทยกว่า 60 ล้านคน
นอกจากนี้สังคมไทยยังต้องสูญเสีย "สื่อ"ที่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล สร้างการเรียนรู้แก่คนไทย
สมควรหรือไม่ที่ภาคประชาชนจะเรียกร้องให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและสำนักนายกรัฐมนตรี ดูแลรักษาผลประโยชน์ของประชาชน.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)