Skip to main content
sharethis


ณ วัดแห่งหนึ่งบนถนนวอเตอร์ลู ของสิงคโปร์ ชายวัย 60 กว่าๆ กำลังเข้าไปเลียบๆเคียงๆหญิงชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนคนหนึ่งเพื่อถามว่าเธอมีเด็กทารกขายหรือไม่

 


ชายผมสีดอกเลาคนนี้รู้จักกันในนามของ อา เม้ง บอกกับหญิงคนนั้นว่า เขารู้จักคู่สามี-ภรรยาชาวสิงคโปร์ที่ไม่มีลูกอยู่หลายคู่ซึ่งยอมที่จะจ่ายเงินแพงเพื่อซื้อเด็ก โดยที่ราคานั้นจะอยู่ที่ 30 ล้านรูเปี๊ยห์ หรือประมาณ 1.27 แสนบาท และนี่ก็คือ ธุรกิจการลักลอบค้าเด็กที่กำลังเกิดขึ้น


 


ข้อมูลข้างต้นนี้คือสิ่งที่ มูเลียติ หญิงวัย 34 หรือรู้จักกันในนามของ อา กิ๊ก ได้ให้การกับตำรวจบาตัม ว่าเธอเข้าไปสู่ธุรกิจชนิดนี้ได้อย่างไรเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เธอถูกจับที่บ้านของเธอเองเมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านพร้อมกับเด็กๆ อีก 3 คน ที่เธอกำลังจะพาไปสิงคโปร์


 


ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ฝง ชี หัว วัย 44 หรือรู้จักันในนาม อา หัว ก็ถูกจับขังด้วย เธอถูกจับที่บ้านของเธอเช่นกันในวันเดียวกันพร้อมกับเด็กอีกคนหนึ่ง และก็กำลังจะไปสิงคโปร์ด้วย


 


จากคำบอกเล่าของหญิงทั้ง 2 คนที่บอกกับ ซันเดย์ ไทม์ ในระหว่างที่พวกเธอกำลังโดนคุมขังอยู่นั้น ดูเหมือนว่า การค้าเด็กจะไม่ได้เป็นธุรกิจที่ซับซ้อนแต่อย่างใด


 


พวกเธอเล่าว่า มีแหล่งจัดป้อนเด็กอยู่ก็คือ ครอบครัวคนยากจนในเมดาน ซึ่งมอบเด็กให้กับผู้หญิงที่ชื่อว่า ซิ่วเหลียน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะไปส่งต่อให้กับอา กี๊ก และได้รับเงิน 6 ล้าน รูเปี๊ยะห์ หรือ ประมาณ 25,000 บาท ต่อเด็กหนึ่งคน แต่ครอบครัวนั้นจะได้รับเงินต่อเด็ก 1 คน เพียงประมาณ 1-2 ล้านรูเปี๊ยะห์ (4,200 -8,400บาท) เท่านั้น


 


อา หัว ได้รับเงินประมาณวันละ 25,000 รูเปี๊ยะหรือประมาณ 100 บาท สำหรับค่าดูแลเด็ก 1 คน และจะได้เงินก้อนอีกประมาณเดือนละ 6แสนรูเปี๊ยะ หรือ 2,500 บาท เป็นค่า "คอมมิชชั่น"


 


ทางฝั่งสิงคโปร์นั้น อา เม้ง จะโทรศัพท์หา อา กิ๊ก เมื่อมีคู่สามีภรรยาชาวสิงคโปร์ต้องการเด็ก เขากับคู่สามีภรรยาไปบ้านของหญิงเหล่านั้นด้วยกันเพื่อจะเลือกเด็กมาสักคนหนึ่ง


 


"อา เม้ง ปฎิเสธเด็กไป 4 คน ก่อนหน้านี้ เขาบอกว่า เด็กเหล่านั้นไม่ "สวี" อา กิ๊ก กล่าว "สวี หมายถึงหน้าตาดี คนสิงคโปร์ชอบเด็กผิวขาวน่ารักๆ" อา กิ๊ก กล่าวพร้อมกับให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เด็กๆ ที่จะได้ไปสิงคโปร์นั้นจะต้องเป็นเชื้อสายจีน หรืออย่างน้อยก็มาเลย์-จีน


 


อา กิ๊ก จ้างพี่เลี้ยงเด็กไว้ 3 คน ทั้งหมดนั้นก็ถูกจับขังด้วยเช่นกัน


 


เพื่อนบ้านของเธอคนหนึ่งบอกว่า ให้เรียกเธอว่า มาดาม เอบี ซึ่งเอบี วัย 30 กล่าวว่าที่บ้านของอา กิ๊ก นั้นมีเด็กอยู่คราวละ 10 คน เธอบอกว่า "ทีแรกฉันก็นึกว่าเป็นลูกหลานของเธอ แต่ว่าแต่เด็กดูแตกต่างกันไปทุกครั้ง บางคนก็เป็นจีน แต่บางคนก็ดูเป็นมาเลย์"


 


ผู้สื่อข่าวซันเดย์ ไทม์ รายงานว่า บ้านสามชั้นหลังนั้นเงียบสงัดในวันที่ เดย์ ไทม์ไปถึง มีเสื้อผ้าเด็กแขวนอยู่ที่ราวตากผ้า รถเข็นเด็กสีฟ้า วางอยู่ข้างนอกบ้าน ประตูเปิดอยู่แต่ไม่มีใครตอบรับคำเรียกขานของผู้สื่อข่าว


 


เพื่อนบ้านบอกว่า "มูเลียติ ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร เธอมีแขกมากมายล้วนแต่เป็นคนจีน แต่ส่วนใหญ่จะมาตอนกลางคืน"


 


เมื่อคู่สามีภรรยาชาวสิงคโปร์สามารถเลือกเด็กได้แล้ว อา เม้ง จะให้เงินกับอา กิ๊ก 15 ล้านรูเปี๊ยะ หรือประมาณ 63,600 บาทครึ่งหนึ่งของค่าตัวเด็ก ให้ไปช่วยจ่ายให้กับใครก็ตามที่มีส่วนร่วมในการหาเด็กมาครั้งนี้ ส่วนเขาและคู่สามีภรรยาชาวสิงคโปร์ก็จะเดินทางกลับสิงคโปร์ไปในวันเดียวกันหรือในวันรุ่งขึ้น วันที่จะจัดส่งเด็กก็จะมีการนัดหมายและจัดการเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณ 1- 2 สัปดาห์หลังจากนั้น


 


ขั้นตอนต่อไปก็คือ อา กิ๊ก จะติดต่อชายอินโดนีเซียชื่อ อา เสียง ให้ทำพาสพอร์ตให้กับเด็ก ในราคา 10 ล้านรูเปี๊ยะ หรือ 42,400 บาทต่อเด็ก 1 คน ซึ่งเป็นราคาที่แพงกว่าพาสพอร์ตจริงถึง 38 เท่า


 


อา กิ๊ก ขนเด็กลงเรือมาจากบาตัม มาขึ้นฝั่งที่ ท่าเรือข้ามฝาก ฮาเบอร์ ฟร้อนซึ่งอา เม้ง จะรออยู่ที่นั่น เงินที่เหลืออีก 15 ล้านรูเปี๊ยะจะจ่ายกันในตอนนั้นเป็นแบบยื่นหมูยื่นแมวกัน


 


"ในปีที่ผ่านมานั้นมีเด็ก 9 คนถูกส่งมาด้วยวิธีนี้" อา กิ๊กบอก


 


"มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ฉันถูกตำรวจคนเข้าเมืองถามว่า ฉันกับเด็กกำลังจะไปไหน ฉันตอบเขาว่า เด็กไม่สบายจะพามาหาหมอ เขาก็ปล่อยให้ฉันเข้าไปได้" เธอเล่าต่อ


 


อา หัว กล่าวว่า เธอพาเด็กข้ามแดนมาเมื่อเดือน พฤศจิกายนที่แล้วและได้รับเงิน 3 ล้านรูเปี๊ยะ หรือ 12,700 บาท ต่อ 1 ครั้ง


 


ผู้สื่อข่าวซันเดย์ ไทม์ กล่าวว่าได้พยายามติดต่ออา เม้งที่สิงคโปร์ ทางโทรศัพท์มือถือ แต่ว่าโทรศัพท์ของสิงค์เทล ที่เขาใช้อยู่ถูกตัดไปแล้ว


 


ในประเทศสิงคโปร์นั้น ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยเด็กและเยาวชน การนำเด็กหรือช่วยเหลือในการให้มีการนำเด็กเข้ามาโดยการใช้สิทธิปลอมๆ ล่อลวง หลอกลวง ทั้งภายในและนอกประเทศสิงคโปร์นั้นผิดกฎหมาย


 


เมื่อปีที่ผ่านมานั้น กระทรวงพัฒนาชุมชน เยาวชนและกีฬา ได้รับใบสมัครเพื่อรับบุตรบุญธรรมถึง 556 ใบ โดยร้อยละ 56 จากจำนวนใบสมัครทั้งหมดต้องการรับเด็กต่างชาติเป็นบุตรบุญธรรม


 


ภายใต้กฎหมายของสิงคโปร์นั้น ทั้ง อา กิ๊ก และ อาหัว อาจต้องติดคุกถึงคนละ 15 ปีในฐานการลักลอบค้าเด็ก ทั้งคู่ต่างรู้ว่าได้กระทำผิดไปแล้ว


 


อา กิ๊ก กล่าวว่า เธอเสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป และ อาหัว ก็เสริมว่า "ฉันรู้ว่ามันผิด แต่ฉันทำก็เพราะฉันต้องการเงิน"


 


ทั้งคู่ต่างอยู่ในความสงบในระหว่างการสัมภาษณ์แต่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว คารินมุดดิน ริโทกา ผู้กำกับการตำรวจประจำอำเภอ กล่าวว่า ในตอนที่เพิ่งจับตัวมาใหม่ๆ นั้น ทั้งสองร้องไห้ไม่หยุด ตลอดเวลา 2-3 วัน แล้วบอกว่าตัวเองบริสุทธิ์ เรามีปัญหาในการพูดคุยกับพวกเธอมาก"


 


เขากล่าวด้วยว่า ลูกน้องของเขาจับอา หัว ได้คาหนังคาเขาที่บ้านของเธอเองเมื่อวันที่ 9 มกราคม เธออ้างว่าเด็กเป็นลูกชายบุญธรรมของเธอ แต่แล้วในที่สุดก็สารภาพหลังจากที่ถูกสอบสวนว่า เป็นเด็กที่เธอเอาไว้ขาย และได้ซัดทอดไปถึงอา กิ๊ก ซึ่งถูกจับได้ในเวลาต่อมาในวันเดียวกัน พร้อมกับเด็กอีก 3 คนที่เธอเตรียมไว้ขาย


 


ทั่งคู่บอกว่าเธอเข้าออกสิงคโปร์เดือนละหลายๆ ครั้ง เพื่อซื้อของและหาอะไรกิน อา หัว บอกว่า "ฉันไปที่นั่นกับลูกสาวและไปเดินห้างอีสต์ โคสต์ บางทีเราก็ค้างคืนที่โรงแรมถูกๆ"


 


อา กิ๊ก บอกว่า เธอไปสวดมนต์ที่วัดที่ถนนวอเตอร์ลู นานมาแล้ว แต่เมื่อถามถึง อา เม้ง เธอกลับยักไหล่แล้วบอกว่า ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาเม้งมากนัก


 


คารินมุดดิน กล่าวว่า "ทั้งคู่ยังปกปิดข้อมูลอยู่มาก คิดว่าคงจะต้องคาดคั้นเอาความจริงกันต่อไป"


 


-----------------------------------------------


เรียบเรียงจาก ซันเดย์ ไทมส์


ที่มา : http://www.asianewsnet.net/level3_template4.php?l3sec=12&news_id=51448&key_word=

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net