ประชาไท - 26 ม.ค.49 หนังสือพิม์ผู้จัดการรายงานว่า ที่ศาลปกครอง ตัวแทนสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคและเครือข่าย ได้เดินทางมายื่นคำร้องสอดเพื่อขอเข้าเป็นคู่ความกับผู้ฟ้องคดีเดิมว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548 และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548 ที่มีผลให้การแปรสภาพ กฟผ. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
น.ส.
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 8 พ.ย.2549 โดยมีนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี รมว.พลังงาน กระทรวงพลังงาน และคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องร้อง และศาลได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2549 ให้มีการระงับการดำเนินการเพื่อเสนอขายหรือดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับการขายหุ้น กฟผ.ไว้ก่อนเป็นเบื้องต้น และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการไต่สวนฉุกเฉิน
นาง
ด้านนาย
นายนิติธร กล่าวอีกว่า การฟ้องเพิ่มในครั้งนี้คงไม่เป็นผลให้ต้องยืดระยะเวลาการพิจารณาคดี และหากผู้ฟ้องร่วมมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมก็สามารถนำเข้ามาร่วมได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีเนื้อหาที่สอดคล้องกันหรือไม่ ในที่นี้อาจจะร้องสอดเอง ร้องผ่านทางสภาทนายความ หรือขอคำแนะนำจากนิติกรที่ศาลเองก็ได้
"หากทุกคนถือว่ามีส่วนได้เสียตามกฎหมาย ก็ย่อมมีสิทธิตามกฎหมาย ครั้งนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้มีการตรวจสอบ อย่างเป็นระบบและจริงจัง"
น.ส.
น.ส.สายรุ้ง ระบุถึง เหตุที่ต้องขึ้นค่าไฟที่แท้จริงนั้นมี 4 ประการ คือ 1.เพื่อนำไปโปะค่าใช้จ่ายในการแปรรูป กฟผ. ซึ่งไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น ค่าบริการของบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน 1,174 ล้านบาท เงินเดือนและผลตอบแทนของพนักงานและคณะกรรมการ บมจ.กฟผ. ที่เพิ่มขึ้นจากการแปลงสภาพเป็นบริษัท 12,126 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการเกษียณพนักงานก่อนกำหนดก่อนการแปลงสภาพเป็นบริษัท 4,000 ล้านบาท ค่าประชาสัมพันธ์ต่างๆ ที่มากกว่า 44 ล้านบาท ผลประโยชน์หุ้นของพนักงาน กฟผ. ที่ราคาหุ้น 26.5 บาทต่อหุ้นอีก 8,415 ล้านบาท และค่าจ้างอื่นๆอีก รวมทั้งสิ้นมากกว่า 25,759 ล้านบาท
2. ว่าเป็นการประกันกำไรให้นักลงทุน 8.39 เปอร์เซ็นต์ เพื่อการแปรรูป กฟผ. ประการที่ 3. คือ ปตท.แปรรูปแล้วขูดรีดค่าเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจากประชาชนไปปรนเปรอให้กลุ่มทุน และประการที่ 4. ระบบอามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์ทับซ้อนกับข้าราชการที่มีผลต่อกระบวนการกำหนดค่าไฟ