ประชาไท - 31 ม.ค.49 สหพันธ์องค์กรผู้บริโภค และตัวแทนผู้ฟ้องคดีกว่า 2,000 คนที่ยื่นฟ้องการแปรสภาพการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ต่อศาลปกครอง ได้ออกคำแถลงสรุปเพื่อยื่นคัดค้านคำให้การของภาครัฐ โดยมีสาระสำคัญ 10 ประเด็น
ทั้งนี้ จากกรณีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และตัวแทนเครือข่ายองค์กรผู้บริโภค รวม 11 คนร่วมกันเป็นผู้ฟ้องคดี พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฏ.) 2 ฉบับที่มีผลต่อการแปลงสภาพ กฟผ. จากรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทจำกัดมหาชน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาพิพากษา ยกเลิกและเพิกถอน พ.ร.ฎ.ทั้งคู่ คือ พ.ร.ฎ.กำหนดอำนาจ สิทธิและประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2548 และพ.ร.ฎ.กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ.2548
ต่อมาศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 พ.ย.48 ให้ระงับการกระจายหุ้น กฟผ.ในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 16-17 พ.ย.ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นศาลได้ส่งคำฟ้องของกลุ่มองค์กรผู้บริโภค ไปยังผู้ถูกฟ้องคดี ทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย 1.นายกรัฐมนตรี 2. คณะรัฐมนตรี 3. สำนักนายกรัฐมนตรี 4.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และ 5. กระทรวงพลังงาน
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.48 ทางผู้ถูกฟ้องคดีได้ได้ส่งคำให้การของผู้ถูกฟ้องคดีมาให้ศาลปกครองสูงสุด เพื่อแก้คำฟ้องของฝ่ายผู้ฟ้องคดี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 ม.ค.49 ได้มีผู้ประชาชนทั่วไปกว่า 2,000 คน มอบอำนาจให้ทนายขอเข้าเป็นผู้ร่วมฟ้องคดีด้วย ทำให้ปัจจุบันมีผู้ฟ้องคดี กฟผ.รวม 2,036
ความคืบหน้าล่าสุด ในวันนี้ (31 ม.ค.) ผู้ถูกฟ้องคดีนำโดยนางสาว
1. พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ ขัดต่อพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญ
2. การตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับขัดต่อสาระในพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ตามมาตรา 261.2.4 การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ไม่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ เนื่องจากไม่ได้ทำให้มีรายได้เข้ารัฐตามที่ควรจะเป็น กล่าวคือ
3. ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินและกิจการของบมจ.กฟผ. ได้ถูกลดทอนมูลค่าให้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยมีการประเมินสินทรัพย์ไว้เพียง 2.4 แสนล้านบาท ในขณะที่มูลค่ากิจการและโอกาสในการทำธุรกิจในฐานะที่เป็นผู้ผูกขาดการซื้อ การขาย และส่งไฟฟ้า มีมูลค่าสูงถึง 3.797 ล้านล้านบาท ดังนั้น หากมีการกระจายหุ้นบมจ.กฟผ. ที่สัดส่วนร้อยละ 25 ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีอ้างถึง จะทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์เป็นมูลค่าสูงสุดถึง 9.07 แสนล้านบาท
4. การแปรรูปทำให้รัฐสูญเสียรายได้ที่เคยได้รับ เพราะกฟผ. เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรส่งคลัง
มาโดยตลอดไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งคิดเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 ของกำไร แต่ตามหนังสือชี้ชวน ได้เขียนไว้ชัดเจนว่า หากมีกำไรจะนำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปภาษีเงินได้นิติบุคคล เพียงร้อยละ 25 ตั้งแต่ปี 2549 - 2552 ในขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มีการนำส่งรายได้ให้กับรัฐ ร้อยละ 35 การแปรรูปที่ทำให้ผู้ถือหุ้นเป็นเจ้าของกิจการ จึงทำให้รายได้ของรัฐลดลง และต้องหาเงินจากแหล่งอื่นมาชดเชย และไม่ช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐแต่อย่างใด ดังแสดงในตารางเปรียบเทียบรายได้นำส่งรัฐ และภาษีเงินได้นิติบุคคลของ กฟผ. ก่อนและหลังการแปลงสภาพ
5. การแปรรูป ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์ในรูปของเงินปันผลที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น เพราะตามหนังสือชี้ชวนได้ระบุไว้ว่า บมจ.กฟผ. จะต้องปันผลหุ้นจากกำไรสุทธิ ร้อยละ 40 ให้กับผู้ถือหุ้น หากรัฐสูญเสียความเป็นเจ้าของกิจการไปร้อยละ 25 หมายถึงว่า รัฐเสียประโยชน์เพราะต้องแบ่งกำไรที่เคยได้ทั้งหมดให้ผู้ถือหุ้นเอกชน จึงเป็นการถ่ายโอนรายได้ที่พึงมีของรัฐไปสู่เอกชน
6. คณะรัฐมนตรีไม่เคยมีมติให้ยุบเลิก กฟผ. แต่อย่างใด ในคำคัดค้านของผู้ถูกฟ้องเองก็ไม่สามารถระบุให้ชัดเจนได้ว่ามีมติของคณะรัฐมนตรีครั้งใด ที่กำหนดให้มีการยุบเลิก กฟผ. จากการตรวจสอบของผู้ฟ้องคดี พบว่า มติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับการแปลงสภาพ กฟผ. คือ มติ ครม. เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2546 และวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเพียงการอนุมัติในหลักการให้แปลงสภาพ กฟผ. ทั้งองค์กรเป็นบริษัทโดยใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542
7. ผลจากการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับทำให้เกิดการผูกขาดทางด้านกิจการพลังงานไฟฟ้า โดยองค์กรที่มีฐานะทางกฎหมายเป็นองค์กรเอกชน
8. ทรัพย์สินของชาติบางอย่าง มีลักษณะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน หรือสิทธิบางอย่างมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจมหาชน ไม่สามารถที่จะขายหรือให้มีการครอบครองหรือยึดถือโดยองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรได้ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีในการตราพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ จึงเป็นการกระทำไม่สุจริต
9. กระบวนการในการตราพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ไม่ได้มีการปฏิบัติตามขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการนั้น ส่งผลให้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ในการจัดเวทีรับฟังความเห็น มีประชาชนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นเพียงจำนวน 3,632 คน เท่านั้นจากจำนวนประชาชนของประเทศไทยทั่วประเทศกว่า 62 ล้านคน ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียกับการแปรรูปการ กฟผ. หรือมีเพียงน้อยกว่าร้อยละ 0.006 เท่านั้น
10. กรณีนี้อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนในกระบวนการระหว่างแปลงสภาพ คือกรณีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งกฟผ. มี ดร.โอฬาร ไชยประวัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งในช่วงเวลานั้น เป็นคณะกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจโทรคมนาคม จึงขัดต่อมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจฯ
นอกจากนี้ คณะกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน มี ดร.
11. หลักเกณฑ์ในการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิถือหุ้น บมจ. กฟผ. ไม่ได้เอื้อต่อประชาชนทั่วไปแต่อย่างไร ซึ่งจะทำให้การถือสิทธิหุ้น บมจ. กฟผ. หรือการลงทุนในกิจการของรัฐวิสาหกิจจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มนักลงทุนเท่านั้น และถึงแม้ผู้ถูกฟ้องคดี จะอ้างว่า ให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาซื้อหุ้นได้เพียงร้อยละ 30 แต่หากมีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีเรื่องการลงทุนในบริการสาธารณูปโภค จะไม่สามารถจำกัดการลงทุนนักลงทุนแตกต่างจากนักลงทุนในประเทศ เพราะมีข้อผูกพันเรื่องการให้สิทธิเยี่ยงชาติในการลงทุน
ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปศาลจะนำสำเนาของผู้ฟ้องคดี ส่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 5 ราย หลังจากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีจะทำให้การเพิ่มอีกครั้งภาย ใน 15 วัน หลังจากนั้นศาลก็จะดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม นาย