นักวิชาการหลายมหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์เรียกร้องนายกรัฐมนตรีลาออก เปิดทางแก้ไขรัฐธรรมนูญฟื้นฟูองค์กรอิสระ ยันการชุมนุมเป็นสิทธิ เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกันป้องกันมิให้เกิดความรุนแรง ย้ำรัฐปฏิบัติกับผู้ชุมนุมดังเพื่อนร่วมชาติ
ทั้งนี้คณาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ออกแถลงการณ์ร่วมกันเรียกร้องให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.
นอกจากนี้แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้ข้าราชการ ทหาร ตำรวจและพลเรือนปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชนที่มาแสดงออกตามสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 4-5 ก.พ.49 ให้มีความปลอดภัย และขอให้ประชาชนที่มาชุมนุมตามสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในวันนั้นแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและการกระทำต่างๆ โดยยึดหลักสันติวิธี
โดยคณาจารย์จากนิด้าที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์มีดังนี้ 1.ศ.ดร.
ในส่วนของต่างจังหวัด คณาจารย์-นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา รวมถึงองค์กรพันธมิตร ก็ได้กันแถลงข่าวยื่นหนังสือเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ให้ลาออกจากตำแหน่ง และสนับสนุนให้สถาบันการเมืองตามรัฐธรรมนูญ องค์กรและกลุ่มเอกชน ร่วมกันผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อวางกฎเกณฑ์มาตรฐานและจริยธรรมทางการเมืองและสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามหลักการประชาธิปไตยโดยเร็ว
นาย
อาจารย์ - น.ศ. ลงชื่อร่วมตั้งข้อหาทักษิณ
ด้านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากคณาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ได้ออกแถลงการณ์เปิดประเด็นเรื่องเรียกร้องนายกฯทักษิณลาออกไปเมื่อหลายวันก่อน วานนี้ (3 ก.พ.) คณาจารย์ 41 คนและนักศึกษา 79 คน ร่วมลงชื่อทำจดหมายเปิดผนึกจี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ โดยระบุในแถลงการณ์เรื่อง "ขอให้แสดงความรับผิดชอบต่อการทำลายมาตรฐานจริยธรรมของสังคมไทย" มีเนื้อหาว่า
ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นของกลุ่มธุรกิจชินคอร์ปที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทยถึงเล่ห์เหลี่ยมในการใช้ประโยชน์อย่างไม่ถูกต้อง ทั้งจากช่องว่างทางกฏหมายที่มีอยู่ และจากการแก้ไขกฏหมายโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติโดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาเพื่อประโยชน์ของตัวนายกรัฐมนตรี ครอบครัว และพวกพ้อง ทั้งนี้โดยมีผู้เชี่ยวชาญที่ถูกจ้างโดยครอบครัวนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐออกมาให้การรับรองความถูกต้องด้วยการบิดเบือนกฏเกณฑ์ และแนวปฏิบัติที่เคยมีมาเพื่อสร้างภาพความชอบธรรมให้กับธุรกรรมดังกล่าว
ปรากฏการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นถึงความตกต่ำถึงขีดสุดของมาตรฐานจริยธรรมในสังคมไทย และนำไปสู่มาตรฐานใหม่ของการใช้สติปัญญาเพื่อโกงชาติบ้านเมืองเพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่สนใจหายนะของประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบในทางลบต่อความคิด ความเชื่อ และค่านิยมของประชาชน ตลอดจนเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นอนาคตสำคัญของชาติและจะกลายเป็นชนวนในการทำลายวิถีชีวิตดีงามที่สังคมไทยสร้างมา กว่า 700 ปีในที่สุด
นอกจากนี้ ความตกต่ำทางมาตรฐานทางจริยธรรมที่ปรากฏในการทำงานของหน่วยงานสำคัญๆ ของรัฐซึ่งควรจะเป็นหลัก และเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนนั้น เป็นการทำลายทั้งโครงสร้าง และกระบวนการในการทำงานอย่างยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ของการบริหารราชการแผ่นดินและสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยในสายตานานาอารยประเทศในโลกซึ่งนับเป็นกระทำความผิดต่อสังคม และประเทศชาติที่ร้ายแรงกว่าการทำผิดทางกฏหมายอย่างมากมายมหาศาล
เงินจำนวนกว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความมั่งคั่งร่ำรวยที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศ โดยที่ไม่สามารถตอบคำถามในเรื่องความถูกต้อง และความชอบธรรมให้กับสังคมไทย ทำให้เกิดข้อสงสัย และความไม่ไว้วางใจต่อการทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี และเป็นผลลัพธ์ที่อาจวิเคราะห์ได้ว่าเชื่อมโยงมาจากความไม่สุจริตของนายกรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดินตามหลักธรรมาภิบาล และความเป็นผู้นำที่ไร้ซึ่งคุณธรรม และจริยธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่
การแก้ไขกฏหมายเพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้ามาถือครองกรรมสิทธิ์ได้มากขึ้นถึงร้อยละ 49 ในกิจการโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งเป็นการขายสัมปทานทรัพยากรของชาติ และไม่รักษาประโยชน์สูงสุดให้กับประชาชน
การออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิตที่เอื้อประโยชน์ให้กิจการของครอบครัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำไปสู่ความได้เปรียบในการแข่งขัน และการขายหุ้นของกิจการได้ในมูลค่าสูง ภายใต้การเสียประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน
การหลบเลี่ยงภาษีจากการซื้อขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปซึ่งเกิดจากการสร้างธุรกรรมให้มีความซับซ้อนในหลายขั้นตอน ซึ่งในปัจจุบันก็ยังปรากฏข้อสงสัยถึงความถูกต้องในหลายประเด็น หลายแง่มุม ทั้งประเด็นการจัดตั้งบริษัทในต่างประเทศซึ่งเป็นดินแดนแห่งการฟอกเงิน และเลี่ยงภาษี ประเด็นการต้องถูกประเมินรายการได้เพิ่มเติมจากการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด
การพูดเท็จโดยปราศจากความละอายต่อสาธารณชนในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งกระทำในหลายกรณีดังที่ปรากฏหลักฐานในสื่อมวลชน ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกระทำที่ไม่ตรงกับคำพูดของนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการทำลายมาตรฐานจริยธรรมในเรื่องของความซื่อตรงซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมทั่วโลก
การยืนกรานในเรื่องความถูกต้องตามกฏหมายทั้งที่ตนเองมีอำนาจ และยึดกุมเสียงข้างมากในสภาซึ่งทำหน้าที่แก้ไขกฏหมาย เป็นข้ออ้างที่ไม่คำนึงถึงความชอบธรรมและมาตรฐานจริยธรรมอันดีงาม และถือเป็นการกระทำที่ไม่ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง และไม่น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง
เสกสรรค์-เกษียร รวมลงชื่อด้วย
ด้านคณะรัฐศาสตร์ ศูนย์รวมของนักวิชาการชั้นนำชื่อดังของประเทศ ออกจดหมายเปิดผนึกขับ"ทักษิณ"พ้นเก้าอี้นายกฯ ชี้หมดความชอบธรรมบริหารประเทศ โดยระบุในจดหมายว่า
สืบเนื่องจากบัดนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่านายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.
ข้อที่น่าวิตกก็คือชุมนุมของประชาชนในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ศกนี้ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และท่าทีดื้อรั้นแข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรีอาจนำไปสู่การใช้ความรุนแรงจากฝ่ายรัฐดังที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต
พวกเราคณาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดหลักการดังนี้
1.สันติวิธี ละเว้นการใช้กำลังรุนแรงจากทุกฝ่าย ขอให้ฝายชุมนุมคัดค้านยึดแนวทางอหิงสาสันติวิธี ไม่ยั่วยุ ขอให้เจ้าหน้าที่ผู้รักษาความสงบมีสติวิจารณญาณที่จะอดทนอดกลั้น ปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเพื่อนร่วมชาติ มิใช่ศัตรู
2.ลาออก ขอให้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีรู้ว่า บัดนี้ สมควรที่ตนเองจะพอแล้วในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการแข็งขืนครองอำนาจต่อไปในภาวะล้มละลายทั้งความชอบธรรมและความไว้วางใจรังแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งและการเผชิญหน้า ซึ่งเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรงและความเสียหายต่อชาติบ้านเมือง
3.ตรวจสอบ ขอให้สังคมและกลไกภาครัฐดำเนินการตรวจสอบความต้องสงสัยไม่ชอบมาพากลทางผลประโยชน์ธุรกิจของนายกรัฐมนตรีและพวกพ้องอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งบริหารไปก่อนเท่านั้น
4.มีส่วนร่วม ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ที่จัดเกิดขึ้นในอนาคตขอให้ยึดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้นักวิชาการ 22 ที่ร่วมลงชื่อได้แก่ ศ.ดร.