Skip to main content
sharethis


 





นายกรัฐมนตรีอ้างความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป ยันการลาออกเท่ากับทรยศต่อ 19 ล้านเสียงที่ลงคะแนนให้พรรคไทยรักไทย วอนเห็นใจ ทำอะไรไม่เคยถูกในสายตากลุ่มต้าน ขณะที่แอบส่งลูกไปอังกฤษ


 


เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่การแบ่งฝ่าย แต่เป็นการแบ่งความคิดที่ต่างกันเท่านั้น ชอบ-ไม่ชอบเป็นเรื่องธรรมดา ตอนเลือกตั้งตนได้มา 19 ล้านเสียง ไม่ได้หมายความว่าตนได้ 19 ล้านเสียงแต่เพียงผู้เดียว พรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยก็ได้มาหลายล้านเสียง พรรคมหาชนก็ได้ล้านเสียง เป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรเลยในระบอบ


 


"มันมีคนพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง บิดเบือนข้อมูล แม้กระทั่งเรื่องหุ้น ผมก็ถูกตรวจสอบโดย ป.ป.ช.แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็ตรวจสอบแล้วว่าผมไม่มีหุ้น ตอนที่เข้ามาหุ้นได้ถูกโอนให้ลูกที่บรรลุนิติภาวะหมดแล้วตั้งแต่ 1 ธันวาคม 43 ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว แต่ปรากฏว่าบางคนคิดว่ามีการปกปิดหุ้นรอบสอง คือบิดเบือน พอบิดเบือนปุ๊บคนไม่รู้ก็พิจารณาไม่เป็น ไม่มีข้อมูลก็ไปหลงกระแสว่านี่ไม่ดี ปัดโธ่ คนเป็นนายกฯ ไม่มีใครทำอะไรไม่ดีหรอก เป็นนายกฯ ถือว่ามีเกียรติมาก มีโอกาสทำงานให้บ้านเมืองมากแล้ว ใครจะไปทำเรื่องไม่ดีทำไม"


 


ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเรียกศรัทธาและแสดงให้เห็นความจริงใจอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แน่นอนตนเป็นคนที่จริงใจและพูดตรงๆ ตนรู้ว่าได้ทำอะไรไปบ้าง ที่มันทำให้เดือดร้อนแน่นอน เช่น การแก้ปัญหายาเสพติด หวยเถื่อน ผู้มีอิทธิพลและคนที่โกงประชาชนโดนหมด คนที่เคยหาประโยชน์ได้จากการที่รัฐบาลอ่อนแอด้วยการไปข่มขู่ พอหาไม่ได้ปุ๊บก็โกรธ


 


"อยากทำทีวี ไม่ได้ทำจะตายห่าให้ได้ มันก็เป็นอย่างนี้" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว


 


เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เหตุใดจึงใส่อารมณ์ นายกฯ ตอบว่า เปล่า มันก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นเป็นไร มันก็ธรรมดา ฉะนั้นคนพวกนี้ก็จะมารวมกัน ประชาธิปัตย์ก็ขอร่วมด้วยคน แค่นั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรเลย และ ส.ว.ขาประจำของตนก็มีอยู่


 


"ไม่รู้จะทำอย่างไร" นายกฯ ตอบคำถามที่ว่าจะสมานฉันท์อย่างไร และว่า วันนี้ถ้าให้ตนลาออก ก็เท่ากับตนทรยศต่อคนที่เขาเลือกมา


 


"จะให้ผมทำอย่างไร ในเมื่อเขารู้ว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ผมบอกเขาแล้วว่าผมจะทำอะไรบ้าง ซึ่งผมก็มีเวลา 4 ปีในการทำ อยู่ๆ ผมมาลาออก เท่ากับผมทรยศเขา"


 


พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่ากระแสโจมตีตนนั้น มาจากคนที่พยายามไม่เข้าใจ อย่างเช่นหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับที่ซัดตนเต็มที่ทุกวัน ตั้งแต่ผู้จัดการ มติชน เนชั่น บางกอกโพสต์ ถามว่าเรื่องขายหุ้น เจ้าของบริษัทเหล่านี้ขายหุ้นบ้างไหม ขายทั้งนั้น แล้วเสียภาษีหรือเปล่า ก็ไม่ได้เสียสักคน เพราะหุ้นในตลาด เมื่อขายไม่ต้องเสีย นี่คือกติกาเขา เสร็จแล้วจะมาเล่นงานตน ปัดโธ่ ตรงไปตรงมาสิ ตรงไปตรงมารับรองตนไม่กลัวใคร ที่ว่าเป็นเพราะตนถูกคาดหวังมากกว่าคนอื่นก็ไม่จริง คนที่คาดหวังเขาต้องรอได้ มีแต่บางคนคอยจะรอโดยสารจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


ทั้งนี้นายกฯ ยังได้ต่อว่าสื่อกรณีพาดพิงถึงลูกสาว ทั้งที่ครอบครัวไม่ได้เล่นการเมืองด้วย


 


ผู้สื่อข่าวถามถึงปฏิกิริยาคณาจารย์ที่รวมตัวกันขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า สบายๆ ไม่มีปัญหา วันเสาร์จะอธิบายให้สังคมฟังหมดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร


 


"ไม่มีปัญหา กติกามันมี ผ่านก็คือผ่าน ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน ไม่เห็นมีอะไรเลย"


 


ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์อีกครั้งที่ชุมชนคลองเตยหลังไปแก้ปัญหาความยากจนย้ำว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังม็อบสนธิ จัดรถขนคนจากภาคใต้เข้ามา ขอถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังยึดมั่นในระบบรัฐสภาหรือเปล่า ตนขอเรียกร้องประชาชนอย่าไปยุ่ง อย่าไปฟัง เพราะฟังคนโกหกมากแล้วโกรธอีก สำหรับคนที่สนับสนุนรัฐบาล ก็ไม่ให้ไปยุ่ง การใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไม่มีปัญหา แต่ถ้าไปละเมิดสิทธิคนอื่นก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง


 


เช่นเดียวกับที่นายกฯ ชี้แจงเรื่องขายหุ้นว่าเป็นไปตามกรอบกฎหมาย ระบบมันเป็นอย่างนี้ สื่อต้องเป็นธรรม อย่าตัดสินใจแทนประชาชน


 


ในช่วงเย็น พ.ต.ท.ทักษิณได้เปิดทำเนียบฯ ต้อนรับกลุ่มต่างๆ ที่เข้าให้กำลังใจ อาทิ พนักงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ กลุ่มสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน บริษัทบางกอกไมโครบัส สมาคมผลิตไก่ผู้ส่งออกไทย ตัวแทนมุสลิมชุมชนบ้านครัว


 


โอกาสนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ชี้แจงถึงข้อกล่าวหาต่างๆ อีกรอบ เริ่มจากการขายหุ้นชินคอร์ปไม่เสียภาษี ว่าเป็นกติกาของตลาดหลักทรัพย์และกรมสรรพากร เรื่องการตั้งบริษัทแอมเพิลริชที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ว่าเพื่อเอาหุ้นเข้าตลาดแนสแด็กในนิวยอร์ก แต่บังเอิญภาวะตลาดตอนนั้นไม่ดีจึงไม่ได้เข้าบริษัทจึงค้างอยู่ หุ้นที่อยู่ในต่างประเทศก็ค้างอยู่ จึงโอนหุ้นให้ลูกเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.43 ก่อนเลือกตั้ง และก็มีคนพยายามโยงว่าตนปกปิด


 


เรื่องการขายดาวเทียมให้ต่างชาติขายดาวเทียมให้ต่างชาติ ซึ่งจริงๆ แล้ว คนที่มาซื้อใจถึง เพราะไม่มีอะไรเลย มีแต่บริษัทกับพนักงาน ดาวเทียมยังเป็นของรัฐบาล สัญญาณมือถือก็เป็นของรัฐบาล และสัญญาทุกอันก็เป็นของรัฐบาลหมด


 


"ผมทำงานมาทั้งหมดผิดหมดใช่ไหม ผมปราบปรามยาเสพติด ยาเสพติดหายไปตั้งเยอะผมก็ผิด ผมถูกกล่าวหามากๆ เลย ผมตั้งกองทุนหมู่บ้าน ให้ประชาชนผมก็ผิด ผมทำ 30 บาทรักษาทุกโรค ให้ประชาชนได้บัตรทอง ผมก็ผิด ผมยังไม่ทำอะไรที่ถูกในสายตาคนเหล่านี้เลย ใช้หนี้คืนไอเอ็มเอฟก่อนล่วงหน้า 2 ปีก็ผิด เขาหาว่าใช้ทำไม ไม่รอให้ครบกำหนดแล้วค่อยใช้ สรุปแล้วผมทำอะไรผิดทุกเรื่อง ผมก็เลยงงอยู่"


 


"แต่วันนี้คนกลุ่มหนึ่งนำโดยคนซึ่งตลอดเวลาที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี มาขอผลประโยชน์ตลอด เสร็จแล้วมาขอทำทีวีแล้วมันผิดกฎหมายทำไม่ได้ ก็โกรธกัน ผมปกป้องนายแบงก์ที่เป็นพรรคพวกเขาที่ลดหนี้ให้เขาไม่ได้ เพราะผิดกติกาแบงก์ชาติ ก็โกรธผมแต่ตลอดเวลา วิ่งมาขอสปอนเซอร์ ขออะไรตลอดเวลา นี่คือหัวหน้าม็อบ หลายคนที่อยู่ในนั้นก็ขาประจำ หลายคนมีความสัมพันธ์กันทั้งนั้น มนุษย์ที่คิดแต่เรื่องของตนเอง และมนุษย์ที่คิดไม่เป็นก็ต้องค่อยๆ ทำกันไป"


 


นายกฯ กล่าวด้วยว่า สิ่งที่เกิดในวันที่ 4 ก.พ.จะเป็นฝันร้ายครั้งสุดท้ายของประเทศ จะไม่มีการแสดงความแตกแยกอีก


 


อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันนี้ (4 ก.พ.) อ้างรายงานว่า เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยานายกฯ ไปส่ง น.ส.แพทองธาร บุตรสาวคนเล็กเดินทางไปประเทศอังกฤษที่สนามบินดอนเมือง ขณะที่นายพานทองแท้ได้เดินทางไปล่วงหน้าก่อนแล้ว ส่วน น.ส.พิณทองทา บุตรสาวอีกคน กลับไปอังกฤษช่วงหลังปีใหม่ เพราะกำลังศึกษาอยู่ที่นั่น


 


แหล่งข่าวยังระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการส่งลูกทั้งหมดออกจากประเทศไทย เนื่องจากสงสารลูกที่มีความเครียดอย่างหนักจากกรณีขายหุ้นชินคอร์ป


 


..........................


เรียบเรียงจาก : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 4 กุมภาพันธ์ 2549


ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net