คอเร็ตรา สก็อตต์ คิง ( Coretta Scott King)
ภาพจาก :www.cooley.edu
เรียบเรียงโดยสุทธิดา มะลิแก้ว
"สำหรับฉันแล้ว ฉันจงรักภักดีกับเธอเป็นอย่างยิ่ง เธอเป็นราชินี" ออปร่า ห์ วินฟรีย์ ( Oprah Winfrey) พิธีกรรายการทอล์คโชว์ ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในพิธีรำลึกแด่ คอเร็ตรา สก็อตต์ คิง ( Coretta Scott King) ภรรยาม่ายของ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสัปดาหที่แล้วด้วยวัย 78 ปี ด้วยเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองอุดตันและโรคหัวใจที่เธอเป็นมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม
มาร์ติน ลูเทอร์ คิง เป็นบุคคลที่รู้จักกันในดีในนามของนักต่อสู้เพื่อต่อต้านการเหยียดสีผิวในอเมริกา จนทำให้ถูกลอบสังหารลงที่เมืองเมมฟิส ในปี1968 ซึ่งเมื่อเขาเสียชีวิตไปนั้นผู้คนเข้าใจว่าภรรยาม่ายของเขาคงจะยุติบทบาทในทางสาธารณลงและหันไปเลี้ยงลูกเท่านั้น ทว่า เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะนับแต่นั้นมา เธอก็สานต่อแนวความคิดของสามี เธอได้อกมาต่อสู้เพื่อความยุติธรรมระหว่างเชื้อชาติอย่างทุ่มเท รวมทั้งยังพยายามนำเรื่องการต่อต้านความรุนแรงที่สามีของเธอยึดมั่นออกเผยแพร่ จนทำให้เธอเป็นที่รักของประชาชนหลายล้านคน
คอเร็ตตา คิง ได้กลายเป็นบุคคลสาธารณะที่มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง เธอได้ไปกล่าวสุนทรพจน์นับร้อยๆครั้งทั้งในและต่างประเทศ และมีบทบาทสำคัญในหลายองค์กร อาทิ สภาเพื่อสตรีนิโกร และ องค์กรผู้หญิงต่อสู้เพื่อสันติภาพ นอกจากนั้นยังได้รวบรวมวาทะสำคัญๆของมาร์ติน ลูเทอร์ คิง ออกมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ ชื่อ " The Words of Martin Luther King Jr" และ ได้เขียนประวัติส่วนตัวของเธอเองชื่อ " My Life With Martin Luther King"
ร่างของเธอถูกนำมาที่อาคารที่ทำการรัฐจอร์เจียแอตแลนต้า และได้มีการจัดพิธีไว้อาลัยขึ้นที่นี้ นับเป็นผู้หญิงคนแรกและ ผู้หญิงอเมริกัน-อัฟริกันคนแรกที่ได้รับเกียรติสูงสุดดังกล่าวนี้ ส่วนพิธีศพที่จัดขึ้นในที่ New
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียในครั้งนี้ ด้วยการยกย่องคอเรตตา ว่า เป็นผู้หญิงที่กล้าหาญ และเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิของประชาชนที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเท่าเทียมของเธอนั้น ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่ดียิ่งขึ้น และมีความโอบอ้อมอารี
ด้านอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน กล่าวว่า "สิ่งที่แจ่มชัดที่สุดสำหรับผม ที่แม้ว่าจะไม่มีใครพูดถึงก็คือ เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่มาร์ติน ลูเทอร์ คิงถูกลอบสังหาร เธอและลูกๆได้เดินทางไปที่ เมมฟิส และไปนำการเดินขบวนที่มาร์ติน ลูเตอร์ คิง นำและถูกสังหารอยู่ที่นั่น"
บาทหลวง เอ็ดดี แอล. ลอง ในช่วงที่เข้ามาทักทายกับฝูงชนภายหลังจากที่ร่างของเธอถูกฝังลงไปแล้ว กล่าวว่า "ชีวิตพวกเราดีขึ้นได้ก็เพราะเธออยู่ที่นี่"
บาทหลวงลอง กล่าวว่า ครั้งหนึ่งเคยถามเธอว่าเธอจัดการรับมือกับความกดดันจากการที่ต้องมาแต่งงานกับนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองได้อย่างไร เธอตอบว่า " ฉันเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันไม่ได้แต่งงานกับมาร์ตินที่เป็นผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นแต่ฉันแต่งงานกับวิสัยทัศน์และชะตากรรมด้วย"
คอเรตตาได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา ระหว่างร่วมรับประทานทานอาหารเย็นเพื่อรำลึกถึงมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ซึ่งวันดังกล่าวถือว่าเป็นวันหยุดแห่งชาติ โดยภายในงานนั้นผู้คนกว่า 1,500 คน ต่างยืนขึ้นเพื่อปรบมือเพื่อเป็นเกียรติและแสดงความชื่นชมในตัวเธอด้วย
---------------------------------------------------