โดย เบญจา ศิลารักษ์ : สำนักข่าวประชาธรรม
แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
กรณีข่าวครึกโครมเรื่องที่นายทุนจากประเทศจีน "เหยียนปิน" ที่จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่โครงการเหมืองแร่โปแตซแทนรัฐบาลไทย ทำให้เรื่องเหมืองแร่โปแตซฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
ความจริงความพยายามของชาวต่างชาติที่จะเข้ามาแสวงหาประโยชน์กับโครงการเหมืองแร่โปแตซนั้นมีมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีก่อนหน้านี้ ซึ่งกลุ่มคนท้องถิ่นก็ได้พยายามรวมกลุ่มคัดค้านมาโดยตลอด จนมีการตั้ง "กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม" ขึ้นมา
ทั้งนี้ประเด็นคัดค้านของคนท้องถิ่น ไม่เพียงแต่คัดค้านว่าสิ่งที่ไทยจะเสียประโยชน์มิใช่เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่หากมีการทำเหมืองขนาดใหญ่แถมพกด้วยอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตคนอีสานจะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล และจะเกิดการแย่งชิงน้ำจากประชาชนไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างหนักเหมือนเช่นที่เคยเกิดกรณีวิกฤตน้ำภาคตะวันออกมาแล้ว
โครงการพัฒนาเหมืองแร่โปแตซและอุตสาหกรรมต่อเนื่องนั้นมีความพยายามผลักดันให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา โดยในเบื้องต้นบริษัทเอเชีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัดได้ดำเนินการสำรวจแหล่งแร่โปแตซที่ จ.อุดรธานี ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 850 ตารางกิโลเมตร ศึกษาความเหมาะสมของโครงการในปี 2539
นอกจากที่จ.อุดรธานีแล้วก็ยังมีแหล่งอื่นๆ อีกด้วย เช่น ที่จ.ชัยภูมิ สกลนคร ขอนแก่น และมหาสารคามในงานศึกษาเรื่อง การจัดการทรัพยากรเกลือในภาคอีสาน โดย เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ระบุว่ารัฐบาลไทยโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้เขียนแผนแม่บทเกี่ยวกับทำเหมืองแร่โปแตซและอุตสาหกรรมต่อเนื่องในปี 2547 ตั้งเป้าผลักดันโครงการเหมืองแร่โปแตซอย่างน้อย 3 แห่ง คือ โครงการเหมืองแร่โปแตซจ.อุดรธานี ของบริษัทเอเชียแปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ของบริษัทจากประเทศแคนาดา โครงการเหมืองแร่บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิของบริษัท เหมืองแร่โปแตซอาเชียน จำกัดของอาเชียน และโครงการเหมืองแร่โปแตซ จ.สกลนครของบริษัท ไชน่า หมิงต๋า โปแตซ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ของบริษัทจากประเทศจีน
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นายเหยียนปินจะเข้ามาถือครองหุ้นใหญ่ในเหมืองแร่โปแตซที่อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ จะด้วยวิธียอกย้อนอย่างไรก็แล้วแต่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลได้เอื้อประโยชน์ต่อนักลงทุนต่างชาติมาแล้วตั้งแต่ต้น
นอกจากนี้ในงานศึกษาของเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ยังระบุว่าสาเหตุที่ทำให้หน่วยงานภาครัฐพยายามผลักดันโครงการเหมืองแร่โปแตซในภาคอีสานนั้นเป็นเพราะต้องการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยวางแผนก่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเคมี ณ แหล่งวัตถุดิบ เพราะไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณค่าขนส่งวัตถุดิบไปสู่นิคมอุตสาหกรรมทางชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย และยังมีแผนผลักดันขยายการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมในอีสานเชื่อมต่อกับประเทศในลุ่มน้ำโขง
จึงอาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมของกลุ่มทุนข้ามชาติ โดยนำทรัพยากรเหมืองแร่โปแตซจากใต้แผ่นดินอีสานนั้นมีการวางแผนเพื่อเอื้อให้กลุ่มทุนอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ
ความจริงก่อนที่จะมีโครงการของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาพัฒนาเหมืองโปแตซในภาคอีสาน ภาคอีสานก็มีการนำเกลือจากแหล่งแร่โปแตซมาใช้อยู่ก่อนแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากพื้นที่ภาคอีสานถือเป็นแหล่งเกลือแหล่งใหญ่ ข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 ระบุว่าภาคอีสานมีพื้นที่ที่เป็นดินเค็มอยู่ถึง 37.2 ล้านไร่ หรือประมาณ 30 % ของพื้นที่ภาคอีสาน และมีพื้นที่ที่มีสภาพดินเค็มจัดอยู่ 17.8 ล้านไร่
จากเดิมที่ชาวบ้านทำบ่อเกลือขนาดเล็กๆ ก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็นธุรกิจการค้าและผลิตเกลือ จนกระทั่งกลายเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ใช้กรรมวิธีผลิตแบบ "เกลือตาก" หรือเกลือบาดาล โดยการอัดน้ำลงในพื้นที่ดินที่มีแร่เกลือหินเพื่อละลายเกลือหิน จากนั้นก็จะสูบขึ้นมาตากบนลานดิน ผลจากการทำอุตสาหกรรมดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อชาวอีสานอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดสภาพดินเค็มน้ำเค็มในลุ่มน้ำเสียวใหญ่ จ.มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และศรีสะเกษ จนต้องมีการร้องเรียนในระงับการทำนาเกลือ
ในสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งในระงับการทำนาเกลือ และยังให้มีการแก้ไขกฎหมายแร่ปี 2510 ผลจากการแก้ไขกฎหมายแร่กลับกลายเป็นว่าเอื้อให้แก่การทำเหมืองแร่โปแตซของกลุ่มทุนใหญ่ไปเสียอีก โดยอ้างว่าการทำนาเกลือโดยการนำเกลือมาตากบนลานนั้นทำลายสิ่งแวดล้อมดังกล่าว จึงมีการปรับแก้เรื่องเทคโนโลยีในการทำเหมืองใต้ดิน โดยการเปลี่ยนนิยามการทำเหมืองใต้ดินเพื่อให้เอื้อกับกลุ่มทุนข้ามชาติที่มีเทคโนโลยีใหม่ในการทำเหมืองนั่นคือ นิยามว่า ในมาตรา 4 ว่าหมายความถึงการทำเหมืองด้วยวิธีการเจาะเป็นปล่อง หรืออุโมงค์ลึกลงไปใต้ผิวดิน เพื่อให้ได้มาซึ่งแร่ที่มีแหล่งแร่อยู่ใต้ผิวดินเกินกว่า
และยังให้อำนาจต่อนายทุนในการทำเหมืองได้อย่างเสรีใต้บ้านใครก็ได้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของ ในมาตรา 50 ระบุว่ากรรมสิทธิ์ของบุคคลนั้นไม่ได้รวมถึงกรรมสิทธิ์การทำเหมืองใต้ดิน หรือสิทธิในแร่ หรือที่อยู๋ใต้ดิน ตลอดจนสิทธิในการใช้สอยพื้นที่ใต้ดินในระดับความลึก และเพื่อประโยชน์ในการทำเหมืองใต้ดินในกรณีที่การทำเหมืองแร่ผ่านใต้ดินของป่าไม้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ให้ผู้ถือประทานบัตรการทำเหมืองต้องขออนุญาต แต่กรณีที่ส่วนบุคคลไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของที่ดินเพียงแค่แจ้งก็สามารถขุดได้เลย
สิ่งที่กลุ่มอนุรักษ์ท้องถิ่นมีความกังวลอย่างมากต่อเทคโนโลยีการทำเหมืองแบบใหม่ คือ กลัวเรื่องการทรุดตัวของแผ่นดินในระหว่างการขุดเจาะแร่ โครงการจะป้องกันการแพร่กระจายของน้ำเค็มในระหว่างกระบวนการแต่งแร่ได้อย่างไร ลานกองเกลือที่นำมาทิ้งไว้กลางแจ้งยังไม่มีมาตรการป้องกันการชะล้างน้ำฝนในช่วงมรสุม ถ้าล้นทะลักสู่พื้นที่เกษตรกรรมจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง
การพลิกโฉมแผ่นดินอีสานที่มีแหล่งทรัพยากรใต้ดินอันมีค่าด้วยการเอื้ออำนวย เปิดทางให้กลุ่มทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงไปทั่งระดับภูมิภาคลุ่มน้ำโขง อาจทำให้จีดีพีของประเทศสูงขึ้น แต่มีคำถามว่าขณะที่นักลงทุนกอบโกยผลกำไรใส่กระเป๋ากลับบ้าน คนท้องถิ่นได้อะไรบ้างจากการพัฒนาดังกล่าว?
ทั้งนี้ในงานศึกษากลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ร่วมกับสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีข้อเสนอแนะต่อแนวทางแก้ปัญหาในระดับนโยบายสาธารณะที่น่าสนใจ กล่าวคือ ที่ผ่านมาสังคมไทยผลิตเกลือและใช้เกลือในจุดที่สมดุลอัตราเฉลี่ยปีละ 1.7 ล้านตัน แต่หากมีการพัฒนาอุตสาหกรรมก้าวกระโดดโดยการทำอุตสาหกรรมเหมืองแร่โปแตซ แม้จะตั้งเป้าเพื่อทำปุ๋ยเคมี แต่ผลพลอยได้จากการทำเหมืองแร่โปแตซคือเกลือหิน ที่จะมีเกลือที่ได้ออกมาเป็นปริมาณมากจนเกินความต้องการใช้ภายในประเทศ ดังนั้นจึงอยากให้ประเทศไทยยึดนโยบายการใช้เกลือที่พอดีกับความต้องการใช้ภายในประเทศเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ส่งเสริม และสนับสนุนการผลิตเกลือขนาดเล็กระดับหมู่บ้าน และผู้ประกอบการขนาดเล็กเป็นหลักมากกว่ากลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยอาจจะเข้มงวดเรื่องกรรมวิธีการผลิตที่ให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชนให้มากขึ้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)