Skip to main content
sharethis


หากเราจะตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นในประเทศไทยสักแห่งหนึ่ง สิ่งแรกๆ ที่เราจะต้องทำก็คือ การสร้างเสาธงแล้วต้องตามด้วยป้ายชื่อสถาบัน แล้วอีกระยะหนึ่งเมื่อมีผู้จบการศึกษาออกไปบ้างแล้วก็คือ การตั้งสมาคม/ชมรมศิษย์เก่าไม่ว่าจะเป็นไปในชื่อศิษย์เก่า นิสิตเก่า นักศึกษาเก่า หรือนักเรียนเก่า ฯลฯ

 


สมาคมศิษย์เก่าซึ่งในที่นี้หมายรวมไปถึงชมรมหรือสมาพันธ์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่รวมกันเป็นกลุ่มศิษย์เก่าของสถาบันต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศที่มีการรวมตัวจัดตั้งขึ้นเป็นองค์กรขึ้นในประเทศไทยนั้น เป็นสิ่งที่เราลอกแบบมาจากต่างประเทศ โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยไม่รู้เหตุผลว่าทำไมต้องมี นอกเหนือจากแนวความคิดที่ว่ารวมตัวกันเพื่อทำประโยชน์ (อะไรไม่รู้) ให้แก่สถาบันที่ตนจบมา ฉะนั้น เมื่อขาดรากฐานในวัฒนธรรมไทย สมาคมศิษย์เก่าของไทยเราจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก นอกจากการจัดงานหาเงินโดยการเรี่ยไรจากศิษย์เก่าและร้านค้าต่างๆ


 


ในระยะแรกๆ คนจบการศึกษาขั้นสูงมีน้อย สมาคมศิษย์เก่ายังพอมีหน้าที่อยู่บ้างก็คือเป็นสัญลักษณ์ของคนชนชั้นที่ได้รับการศึกษา โดยการจัดงานกินเลี้ยงต่างๆ แล้วส่งรูปไปลงหนังสือพิมพ์


 


ปกติการรวมกลุ่มในทางสังคมจะทำให้เกิดอำนาจอย่างหนึ่งขึ้นมานั่นคือพลังในการต่อรอง แต่น่าเสียดายที่สมาคมศิษย์เก่าไม่เคยมีบทบาทในการต่อรองมากนัก ในสงครามแย่งชิงอำนาจในกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ ถึงแม้จะมีสีมีสถาบันก็ตาม แต่สมาคมศิษย์เก่าก็ไม่มีบทบาทในเรื่องนี้แต่อย่างใด


 


สาเหตุที่สมาคมศิษย์เก่าไม่สามารถเป็นกลุ่มต่อรองที่มีประสิทธิภาพก็เนื่องเพราะผลประโยชน์ของสมาชิกมีหลากหลายและมากมายเกินกว่าที่สมาคมจะทำหน้าที่อันนั้นได้ ยิ่งถ้าจะรณรงค์ให้สมาคมศิษย์เก่าเป็นกลุ่มพลังที่มีบทบาทเปลี่ยนแปลงอุดมคติทางสังคมนั้นเป็นอันว่าเลิกคิดได้เลยเพราะสมาชิกของสมาคมศิษย์เก่าแต่ละแห่งนั้นมีตั้งแต่ซ้ายสุดกู่จนถึงขวาตกขอบไปเลย มีตั้งแต่ผู้ซื้อเสียงเลือกตั้งไปจนถึงผู้ต่อต้านการซื้อขายเสียง มีตั้งแต่ผู้ที่ถือศีลกินเจไปจนถึงไอ้/อีโคตรโกง ฯลฯ


 


การที่จะวัดว่าสมาคมฯ ใดมีความเข้มแข็งก็มักจะวัดกันว่ามีข่าวคราวกิจกรรมออกทางหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนบ่อยครั้งแค่ไหน ทั้งๆ ที่กิจกรรมที่ว่าอาจจะเป็นเพียงการกินเลี้ยงสังสรรค์เฮฮากันธรรมดาๆ เท่านั้นเอง


 


ในส่วนของตัวนายกสมาคมฯ นั้นเล่า ส่วนใหญ่ก็มุ่งเข้าไปที่ผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตในบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายข้าราชการประจำหรือฝ่ายการเมือง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นมหาเศรษฐีเงินเป็นตั้งๆ เพราะคิดว่าจะได้อาศัยบุญญาบารมีในการขอความร่วมมือ (รวมถึงการบีบบังคับโดยอ้อม) ในการทำกิจกรรมต่างๆ ของสมาคม ซึ่งแน่นอนผู้ที่มีตำแหน่งใหญ่โตหรือมหาเศรษฐีย่อมไม่มีเวลา และหาความเป็นกันเองกับศิษย์เก่าตัวเล็กๆ ได้ยาก นอกจากนั้นส่วนใหญ่แล้วนายกฯ หรือประธานฯ แต่ละคนก็มีบทบาทหรือสถานภาพอื่นๆ ในสังคมอยู่มากมายอยู่แล้ว ฉะนั้น กิจกรรมของสมาคมศิษย์เก่า ส่วนใหญ่จึงหยุดนิ่งอยู่กับที่ปล่อยให้กรรมการหรือสมาชิกไม่กี่คนวิ่งกันหัวฟู


 


จุดที่สมาคมศิษย์เก่าต่างๆ มักจะถูกโจมตีหรือถูกตำหนิติเตียนก็มิใช่มาจากเหตุอื่นร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าก็มาจากศิษย์เก่าสถาบันนั้นนั่นเอง เช่น ทำอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง หรือไม่ก็คณะกรรมการหรือสมาชิกมาจากไหนเห็นมีแต่พวกบ้ากิจกรรม (เรียกอย่างโก้ๆ ว่า active member) อยู่ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ ดันทะลึ่งมาบอกว่าเป็นตัวแทนศิษย์เก่าทั้งหมด ฯลฯ


 


ว่ากันตามจริงแล้วบทบาทที่แท้จริงของสมาคมศิษย์เก่าก็คือ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (ตราบใดที่ผลประโยชน์ยังไม่ขัดกัน) เพื่อระลึกถึงความหลังหรือเพื่อพบปะสังสรรค์เพื่อความบันเทิงชั่วครั้งชั่วคราว  ซึ่งก็มิใช่เรื่องที่เสียหายอะไร หากไม่เป็นการไปอ้างเอาอุดมการณ์ที่สูงส่ง เช่น เพื่อความสามัคคี เพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของสถาบัน ฯลฯ เข้ามาบดบังวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเพราะอย่างน้อยที่สุดความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันหรือความบันเทิงก็เป็นสิ่งที่มนุษยชาติจะพึงมี             


 


จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นของสมาคมศิษย์เก่าในสังคมไทยที่มีมาตั้งแต่ในอดีต แต่เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด แต่ก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งนั้นก็คือการที่นายกสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์จุฬาฯ ร่วมกับศิษย์เก่าจำนวนหนึ่งได้ออกแถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยกับการทำจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้นายกทักษิณลาออกของคณะอาจารย์จุฬาฯ พร้อมกับอาจารย์จากหลายมหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่ออกแถลงการณ์ไปก่อนหน้านี้ โดยให้เหตุผลว่ากระทำไปด้วยความเห็นส่วนตัว แต่ทำให้กระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิและความน่าเชื่อถือต่อสถาบัน อีกทั้งยังมีลักษณะเป็นการโค่นล้มทางการเมือง ฯลฯ โดยในแถลงการณ์บอกว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ท้ายที่สุดก็มีการนำรายชื่อไปยื่นต่อนายกรัฐมนตรีผ่านทางเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอยู่ดี


 


และเท่าที่อ่านจากเว็บบอร์ดและปฏิกิริยาผ่านสื่อต่างๆ ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งอยากจะตั้งข้อสังเกตว่าเหตุการณ์ที่สมาคมศิษย์เก่าฯ ออกมามีบทบาทในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างเหลือเชื่อและสร้างความงุนงงให้แก่ผู้ที่ได้ทราบข่าวนี้เป็นอันมาก เพราะดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในบรรดาศิษย์เก่าของสถาบันการศึกษาต่างๆ นั้น มีทั้งคนที่ซ้ายสุดกู่ ไปจนถึงขวาตกขอบ ยากที่จะมีความเห็นร่วมกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นทางการเมือง


 


จึงเป็นเรื่องที่นักสังคมวิทยาและนักมานุษยวิทยาจะต้องไปจับมือกับนักรัฐศาสตร์ (ที่แท้จริง) วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น คงเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของประเทศไทยที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และก็ไม่แน่นักนะครับหากต่อไปเราอาจจะได้ยินข่าวว่าสมาคมศิษย์เก่าโน่น สมาคมศิษย์เก่านี่ออกมามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น โดยมีสมาคมนิสิตเก่ารัฐศาสตร์จุฬา นำร่องไปแล้ว


 


แม้ว่าจะมีแถลงการณ์คัดค้านจากนายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯภาคเหนืออย่างฉับพลันพร้อมทั้งคำสวดชยันโตจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกลับมาจมหูก็ตาม


 


…………………………………………


ชำนาญ  จันทร์เรือง : นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ ภาคเหนือ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net