วันที่14 ก.พ. นาย
ในการประชุมดังกล่าวจะเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงการลงคะแนนเลือกตัวแทนอธิการบดี 6 คนเข้าไปเป็นกรรมการสรรหา จากเดิมที่จะให้แต่ละอธิการบดีลงคะแนนเลือกรายชื่อ 6 คน เป็นตัวแทนกรรมการสรรหา เป็นลงคะแนนเลือกได้เพียง 1 คน แล้วมาไล่คะแนนว่าใครได้รับคะแนนสูงสุด 6 อันดับแรก
สาเหตุที่ให้เปลี่ยนมาเป็นวิธีการดังกล่าว เพื่อไม่ให้มีการบล็อกโหวตที่มีใบสั่งจากฝ่ายการเมือง เพราะครั้งที่ผ่านมา เป็นที่ทราบกันว่า มีความพยายามของฝ่ายการเมืองต้องการบล็อกคนของตัวเองเข้าไปเป็นกรรมการสรรหา และที่สำคัญ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้มีภาระสำคัญและจะได้รับแรงกดดันทางการเมืองเป็นอย่างมาก ในการดำเนินการตรวจสอบ และถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และนายกรัฐมนตรี ตามที่นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้
รวมทั้ง การดำเนินการตรวจสอบการทุจรติใหญ่ๆ มากมาย เช่น คดีซีทีเอ็กซ์ ทุจริตคลองด่าน หรือคดีฮั้วประมูลของกรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นการคัดเลือกโดยวุฒิสภาชุดใหม่
"การตัดสินใจของอธิการบดีทั้ง 77 คน จึงเป็นการตัดสินใจกำหนดอนาคตทางการเมืองในองค์กรตรวจสอบ ในระบอบการเมือง จึงเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ" อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าว
วุฒิฯ กำหนดวันสรรหา ปปช.
ขณะที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ แจ้งไปยังหัวหน้าพรรคการเมือง เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้คัดเลือกบุคคลมาเป็นกรรมการสรรหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และได้แจ้งให้ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธาน กกต. ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะกรรมการสรรหา ให้มาประชุมกรรมการสรรหา ป.ป.ช.นัดแรกในวันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ จากนั้นจะเปิดรับสมัครบุคคลที่ต้องการเป็น ป.ป.ช. และดำเนินการการสรรหา โดยในวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม จะมีการลงมติเลือกเหลือ 18 คนเพื่อเสนอรายชื่อต่อประธานวุฒิสภา
ด้าน พล.ต.อ.
แก้รัฐธรรมนูญไหม? มีคำตอบ 2 ล้านแบบ
ส่วนเรื่องที่ 28 ส.ว.ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีนั้น อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงกรณีว่า ไม่มีเหตุผลใดที่ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้องไว้ เพราะผู้ร้องดำเนินการเป็นไปตามกติกา เช่น ลงชื่อครบถ้วน อ้างกฎหมายถูกต้อง มีข้อมูลสนับสนุนชัดเจน จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญก็ไปตรวจสอบดำเนินการตัดสินกันในเนื้อหาอีกครั้ง ส่วนเมื่อรับไว้แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไรก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเสนอให้ทำประชาพิจารณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญพ่วงไปกับการเลือกตั้ง ส.ว. นั้น นายสุรพล กล่าวว่า ไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งในทางเทคนิค และกฎหมาย เพราะในทางเนื้อหาของเรื่องให้ประชาชนจัดทำประชาพิจารณ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กรอบแนวคิดต้องมีข้อเสนอที่ชัดเจน เพื่อจะให้ประชาชนจะได้สามารถตัดสินใจได้ เพราะนี้คือแนวคิดพื้นฐานในการจัดทำประชาพิจารณ์ และประชามติ
ที่สำคัญ คือยังมีประชาชนจำนวนมหาศาลที่จะยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ที่เป็นประเด็นสลับสับซ้อนของเนื้อหา ซึ่งแตกต่างจากการทำประชาพิจารณ์ หรือประชามติที่มีความชัดเจนในด้านเนื้อหาของมันเองอยู่แล้ว และประชาชนก็เข้าใจดี เช่น การจะทำประชามติให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต
"รัฐบาลจะมาตั้งคำถามว่า จะแก้รัฐธรรมนูญไหม ไปถามคนล้านคนอาจจะได้คำตอบ 2 ล้านคำตอบ หรือแก้ปลดล็อก 90 วัน ตามที่คุณเสนาะ เทียนทอง เสนอ หรือแก้ไของค์กรอิสระไม่เป็นอิสระ บางฝ่ายเสนอให้องคมนตรีแต่งตั้ง ส.ว.ไม่ใช่ให้เลือกตั้งแบบนี้ เพราะถ้าการแก้รัฐธรรมนูญในทางเนื้อหากว้างเกินไป ก็ไม่อาจจะทำประชาพิจารณ์หรือประชามติได้ต้องมีการสรุปแนวทางเนื้อหาที่ชัดเจน" นายสุรพล กล่าว
ดังนั้น รัฐบาลต้องทำประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ก่อนที่จะดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์หรือประชามติ เช่น ต่อไปนี้ ส.ส.จะไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ไม่ต้องจบปริญญาตรี เพราะประเด็นแบบนี้ประชาชนเข้าใจ และต้องดำเนินตามขั้นตอน เช่น ประกาศล่วงหน้า 90 วัน ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนก่อนจะดำเนินการทำประชามติ เป็นต้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)