ประชาไท - 16 ก.พ. 49 5 คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ย้ำจุดยืนให้พ.ต.ท.
ผู้เสวนาในเวทีสาธารณะดังกล่าว ได้แก่ ศ.ดร.
เวทีดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการถามถึงข้อกังขาของสังคมว่าทำไมนักวิชาการจึงไม่สอนหนังสือ แต่กลับออกมาเคลื่อนไหวให้เกิดความวุ่นวาย
ศ.ดร.อมรา ตอบคำถามดังกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นทั้งหน้าที่และเสรีภาพ เหตุการณ์ที่ทำให้ต้องออกมาเคลื่อนไหวเป็นเรื่องที่มีการสั่งสมมานาน แต่จุดแตกหักอยู่ที่วันที่ 23 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่มีการประกาศขายหุ้นชินคอร์ป
"หลังจากฟังข่าวแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ได้ติดตามข่าวทั้งอาทิตย์ อ่านหนังสือพิมพ์ทุกคอลัมน์ จนเห็นประเด็นทางรัฐศาสตร์ชัดอย่างเป็นปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นบทเรียนที่นักศึกษารัฐศาสตร์และสังคมต้องเข้าใจ เกี่ยวข้องทั้งในเรื่องจริยธรรม คุณธรรม ซึ่งเป็นเผด็จการทั้งที่แสนจะดูเป็นประชาธิปไตยมากเลย"
ศ.ดร.
รศ.ดร.นครินทร์ กล่าวในเวทีเดียวกันว่า ระบอบการเมืองต้องอยู่คู่กับผู้นำที่มีคุณธรรมและจริยธรรม ส่วนประเด็นคำถามว่า ทำไมอาจารย์รัฐศาสตร์จึงไม่สอนหนังสือนั้น คิดว่าสนามการเรียนรู้ไม่ควรอยู่แค่ในห้องเรียน แต่อยู่ที่การเมืองการปกครองของประเทศ
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า สังคมไทยกำลังก้าวสู่ระบบประชาธิปไตยที่ไม่เคยประสบมาก่อน ที่ผ่านมาในอดีตแทบไม่มีรัฐบาลใดที่มีเสถียรภาพ จึงได้พยายามหาระบบทำให้ผู้นำประเทศมีความเข้มแข็ง แต่ก็ทำให้มาเจอปัญหาอีกอย่าง คล้ายๆ กับกินยาลดความอ้วนแต่มีไซค์เอฟเฟ็ค
นอกจากนี้ สังคมไทยยังคิดว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่กำลังใช้อยู่มีความมั่นคงแต่ความจริงแล้วเปราะบางมาก ในประเทศตะวันตกนักวิชาการก็ชี้ว่ามีปัญหา โดยเฉพาะถ้าระบบการเลือกตั้งไม่ยุติธรรม และต้องให้ความสำคัญกับระบบการตรวจสอบด้วย ซึ่งถ้าไม่มีระบบประชาธิปไตย ตัวแทนก็เปราะ
ขณะนี้ความคลุมเครือของรัฐบาลคือปัญหา สิ่งที่สื่อ นักวิชาการ สังคมตั้งคำถามกลับไม่ตอบ แต่กลับตอบสิ่งที่ไม่ได้ถาม ในประชาธิปไตยสมัยใหม่แท้ๆ แบบที่เป็นอยู่นี้ ฟันธงได้เลยว่าสังคมไทยไม่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการตรวจสอบ
รศ.ดร.
ระบบควรรักษาตั้งแต่ต้น การกลับมาเริ่มที่ประชาชนต้องการอะไร มันจึงอาจสายเกินไป ทั้งๆที่สามารถทำได้ผ่านระบบการเมืองปกติ โดยเสียงส่วนมากในรัฐสภาเป็นผู้เริ่ม การเปิดสภาเพื่อพูดคุยในช่วงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถือว่าเป็นกระบวนการปกติ แต่ทำไม่ต้องไปตั้งวงคุยกันที่อื่น รัฐสภาน่ารังเกียจตรงไหน
ส่วนในกรณีการยื่นคำร้องของ 28 ส.ว. ก็อยากให้ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณา เพราะเป็นกระบวนการปกติเช่นกัน แต่จะตัดสินอย่างไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ด้าน ผศ.วุฒิศักดิ์ กล่าวว่า แนวคิดเรื่องเสรีภาพในประเทศไทยยังมีความล้าหลังอยู่มาก คือยังอยู่ในช่วงประมาณศตวรรษที่ 18-19 ซึ่งยังต้องการการทดสอบต่อไปอีกหลายยุคสมัย การแสดงออกในต่างประเทศที่สังคมพัฒนาแล้วบางประเทศนั้น สามารถทำได้ตั้งแต่การนั่งเฉยๆ ไปจนถึงการแก้ผ้า เป็นเรื่องปกติ
นอกจากนี้ ผศ.วุฒิศักดิ์ กล่าวถึงเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นคำถามอีกข้อหนึ่งของเวทีว่า เป็นเรื่องน่าอายที่สังคมไทยต้องกลับมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง ประการแรกคนพูดว่า การฉ้อฉลในสมัยนี้มีมาก แต่ก็ไม่ดำเนินการอะไร เมื่อคนหันมาหวังในรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ระบบตรวจสอบกลับไม่สามารถทำได้ และเมื่อพูดถึงการแก้ไขก็จะกลายเป็นเรื่องการเมืองทันที
ในส่วนตัวนั้นคิดว่า รัฐธรรมนูญมีส่วนที่ควรแก้ แต่ต้องระวังการกลายเป็นเรื่องการเมือง เพราะจะมีการพยายามรักษากติกาบางอย่างไว้เพื่อตัวเอง โจทย์สำคัญที่ยากมากก็คือ เรื่องที่มาขององค์กรอิสระเพื่อทำการตรวจสอบ
ส่วนในประเด็นการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นั้น เป็นการสะท้อนอะไรบางอย่างที่น่ากลัวสำหรับผู้มีอำนาจ ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นเรื่องปัญหาของนาย
ผศ.ทวี คิดว่ารัฐบาลคงไม่ยอมให้ฝ่ายอื่นมานำการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะตามทฤษฎีรัฐธรรมนูญคือผู้ใดร่าง ผู้นั้นก็มีอำนาจ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเห็นความจริงใจของรัฐบาล และหลังจากการที่รัฐบาลเสนอให้มีการลงประชามติเพื่อตัดสินว่า ควรแก้รัฐธรรมนูญแท้งไป ก็เสนอวาทกรรมใหม่ "ประชาพิจารณา" แทน ตรงนี้เป็นเพียงการระบายลมจากลูกโป่งไม่ให้อึดอัดเท่านั้น
ระหว่างการเสวนาดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ผศ.ปิยะ ได้เดินทางมาร่วมการเสวนาด้วยโดยระบุว่ามาเป็นตัวแทน เครือข่ายรัฐศาสตร์ในภาคใต้
ผศ.
ทุกวันนี้มีหลายประเด็นที่ต้องทบทวนกันในรัฐธรรมนูญ คิดในสามจังหวัดภาคใต้เข้าใจลึกซึ้งในปัญหาอำนาจทางการเมือง เพียงแต่บางส่วนเลือกไม่ต่อสู้ตามกติกา การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการบังคับใช้ให้รัฐธรรมนูญศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลัง อาจเข้าไปแก้ปัญหาในภาคใต้ได้ด้วย
เมื่อมีคำถามจากสื่อมวลชนว่า การพูดคุยในวันนี้ เป็นการลดเป้ามาที่การแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีแถลงการณ์จากคณาจารย์สายรัฐศาสตร์ระบุชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีต้องลาออกด้วยเพราะหมดความชอบธรรม
ผศ.ปิยะกล่าวเป็นคนแรกว่า เครือข่ายรัฐศาสตร์ทางภาคใต้ เรียกร้องชัดเจนว่าให้นายกฯลาออก โดยขอให้ใช้กลไกทั้งในและนอกรัฐสภาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและให้ความรู้กับสังคม รวมทั้งได้เรียกร้องประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปพร้อมกันด้วย
"ในภาคใต้มีเงื่อนไขในการให้นายกฯลาออก ซึ่งรุนแรงกว่าปรากฏการณ์สนธิ คือการใช้ความรุนแรงปะทะ ซึ่งผู้สูญเสียคือประชาชนกับเจ้าหน้าที่เอง ดังนั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนจึงเป็นทางออก ในกรณีปรากฏการณ์สนธิในเมืองก็คล้ายกัน คือโดนปิดกั้นความจริง มีการกดดันต่างๆ จนเกิดเป็นคำถามถึงความชอบธรรมของผู้ปกครอง ในระยะสั้นคือต้องลาออกเพราะผู้บริหารประเทศขาดความชอบธรรม"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)