Skip to main content
sharethis



 


โดย ชำนาญ จันทร์เรือง


 


                                   


                        เพียงหวังจะเฟื่องฟุ้ง           หรือจึงมุ่งมาศึกษา


                        เพียงเพื่อปริญญา              เอาตัวรอดกระนั้นฤา


                        แท้ควรสหายคิด               และตั้งจิตร่วมยึดถือ


                        รับใช้ประชาคือ                 ปลายทางเราที่เล่าเรียน


                       


เสียงบทกวีที่ดัดแปลงมาจากต้นฉบับเดิมของมนูญ มโนรมย์ (นเรศ นโรปกรณ์) ที่แต่งไว้ตั้งแต่ปี 2495 ที่ดังกระหึ่มในยุค 14 ตุลาฯกลับมาก้องกังวานในความทรงจำของผม ในขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองอยู่ในความแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างมากมายชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของความเป็นรัฐไทย


 


การลุกขึ้นต่อสู้ของประชาชนและนักศึกษาในอดีตหลายๆครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการคัดค้านผลการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตในสมัยจอมพล ป. ในสมัย 14 ตุลา 16 หรือ 6 ตุลา 19 และล่าสุด พฤษภา 35 แต่ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการหยิบยกประเด็นของการ "ขายชาติ" ขึ้นมาขับไล่ผู้นำประเทศแต่อย่างใด ปรากฏแต่เพียงประเด็นของการทุจริตหรือการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยอำนาจของรัฐบาลเผด็จการเท่านั้น


 


ในหลายๆ ครั้งของการลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลหรือการเดินขบวนขับไล่ผู้นำประเทศล้วนแล้วแต่มาจากการนำของนิสิตนักศึกษาที่ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นปัญญาชนอยู่ในเขตรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งมีเสรีภาพในการแสดงออกมากที่สุดของสังคม แต่ในยุค 2549 นี้ผู้ที่จุดชนวนกลับกลายเป็นนักธุรกิจที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับหัวหน้ารัฐบาล แล้วจึงติดตามมาด้วยคณะอาจารย์ตลอดจนกลุ่มพันธมิตรทั้งหลาย


 


ในส่วนของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) นั้น ตอนแรกยังรอดูท่าที ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วมการชุมนุมเมื่อ 11 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่ที่เหลือนั้นเล่า ยังคงไม่ตื่นจากการหลับใหล หรือยังจมปลักกับความฟุ้งเฟ้อในสังคมทุนนิยมสุดขั้วตามคลับตามบาร์หรือตามห้างสรรพสินค้าฯลฯ กันอย่างโงหัวไม่ขึ้น


 


จุดมุ่งหมายของการนำเสนอบทความชิ้นนี้มิได้ปราถนาเพียงที่จะโน้มน้าวให้ลุกขึ้นมาต่อต้านความไม่ชอบมาพากลของชนชั้นผู้ปกครองถ่ายเดียว แต่มีจุดมุ่งหมายที่ที่จะปลุกจิตสำนึกของนิสิตนักศึกษาให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อมูลและเหตุผลที่นำมาวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจทางการเมืองของตน เพราะภายใต้อาณาจักรของรัฐ ประชาชนทุกคนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม


 


ตื่นเถิดนิสิตนักศึกษา ตื่นจากความเข้าใจที่ว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง 4 วินาทีนับจากการกาบัตรแล้วนำไปหย่อนตู้เท่านั้น เพราะจริงๆแล้วประชาธิปไตยมีได้ในหลายรูปแบบและวิธีการ การเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย รัฐสภาก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย แต่ที่เหลือไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมือง การตรวจสอบและถอดถอนนักการเมือง การเสนอความคิดเห็นทางการเมือง และแม้แต่การชุมนุมโดยสงบเพื่อเรียกร้องทางการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยเช่นกัน


 


จริงอยู่ประชาธิปไตยคือการปกครองโดยใช้เสียงส่วนมาก แต่หลักของประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องไม่ละเลยหรือละเมิดสิทธิของเสียงส่วนน้อยเช่นกัน


 


ตื่นเถิดนิสิตนักศึกษา ตื่นจากความคิดที่ว่านิสิตนักศึกษามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป จบแล้วค่อยไปทำกิจกรรม ซึ่งก็ขอบอกว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษของผมยังไม่เคยพบเจอนิสิตนักศึกษาคนใดที่เอาแต่เรียนอย่างเดียวโดยไม่มีกิจกรรมอื่นเลยแล้วประสบความสำเร็จในชีวิตหรือในหน้าที่การงานเลย แม้แต่การประกอบอาชีพเป็นครูบาอาจารย์หรือนักวิชาการเองก็ตามเถิด


 


ถ้านิสิตนักศึกษายังหลงติดอยู่กับความไร้สาระของชีวิต อยู่ไปวันๆโดยไม่ทำกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมแล้ว นิสิตนักศึกษาก็จะไม่ได้อะไรเลยจากชีวิตในมหาวิทยาลัยดังเช่นที่วิทยากร เชียงกูล เคยว่าไว้ตั้งแต่ปี 2511 คือ


 


                                                ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง


                                                ฉันจึงมาหาความหมาย


                                                ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย


                                                สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว


 


...................................

ชำนาญ จันทร์เรือง : นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net