เบญจา ศิลารักษ์
สำนักข่าวประชาธรรม
ขณะที่มีกระแสการไล่นายกฯ ออกจากการบริหารทั่วประเทศที่มาจากประชาชนกลุ่มต่างๆ ทั้งนักวิชาการ นักศึกษา องค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ไม่แต่เฉพาะการเคลื่อนไหวของนายสนธิ ลิ้มทองกุลเท่านั้น ด้วยเหตุผลหลักๆ คือนายกรัฐมนตรียังไม่สามารถตอบคำถามของสังคมกรณีความไม่โปร่งใสเรื่องการซุกหุ้นที่เกาะบริติช เวอร์จิ้นได้ โดยมีความเห็นว่ารัฐบาลทักษิณนั้นหมดความชอบธรรมในการ บริหารประเทศแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังคงใช้ข้ออ้างเดิมๆ ว่ากลุ่มที่คัดค้านเป็นกลุ่มเล็กๆ ประชาชนอีก 19 ล้านเสียงยังคงสนับสนุนรัฐบาลอยู่ เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาระดับรากหญ้าทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัย จนถึงระบบสวัสดิการของชุมชน เป็นต้น
ทั้งนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรคุยอวดผลงาน 5 ปีเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมาว่าสามารถทำให้จีดีพีของประเทศโตขึ้นจาก 4.9 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดปี 2548 เป็น 7.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนไทยมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น เส้นความยากจนได้ขยับจาก 1,135 บาทต่อคนต่อเดือนมาอยู่ที่ 1,243 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่ารัฐบาลทักษิณนั้นพยายามชูการแก้ปัญหาของคนจนในชนบทมาหาเสียงอย่างต่อเนื่อง อาทิ การแก้ไขปัญหาหนี้สิน เอสเอ็มแอล กองทุนหมู่บ้าน โอท็อป โคล้านตัว (โคแก้จน) โครงการจัดสรรที่ดินให้แก่คนจน เป็นต้น
แม้ว่านโยบายเหล่านี้ที่เรียกขานกันว่าเป็นนโยบายประชานิยมจะถูกใจคนชนบทจำนวนไม่น้อย ซึ่งก็แน่นอนว่าการหว่านโปรยเม็ดเงินไปสู่รากหญ้าอาจทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกพึงพอใจ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะยาวนั้นยังขาดการวิเคราะห์อย่างรอบด้านในสังคม ต้องยอมรับความจริงว่าพลังของประชาชนในการตรวจสอบนโยบายดังกล่าวนั้นถูกทำให้อ่อนแรงอย่างเหลือเชื่อ
อย่างไรก็ตามแม้ประชาชนในชนบทบางส่วนจะรู้สึกพึงพอใจกับนโยบายประชานิยม แต่ที่ผ่านมาก็พบว่ามีประชาชนรากหญ้าที่สะท้อนถึงผลกระทบที่เกิดจากนโยบายประชานิยมเช่นกัน ซึ่งน่าสังเกตว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมนี้ รัฐบาลจะตอบคำถามอย่างไรกับสังคม
สำนักข่าวประชาธรรมรวบรวมความเห็นของภาคประชาชนต่อนโยบายการแก้ไขปัญหาของประชาชนระดับรากหญ้ามานำเสนอในที่นี้ โดยหวังว่าจะทำให้สังคมจะร่วมกันตรวจสอบนโยบายรัฐบาลอย่างจริงจังนับจากนี้ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง
พักชำระหนี้ กับ กองทุนฟื้นฟูที่ไม่คืบหน้า
อาจกล่าวได้ว่านโยบายพักชำระหนี้ถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลใช้หาเสียงกับเกษตรกรในช่วงสมัยแรก และก็ได้ผลท่วมท้น เพราะเกษตรกรพากันเทคะแนนเสียงให้กับไทยรักไทยก็เพื่อหวังว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาหนี้สิน แต่ปรากฏว่าเงื่อนไขของนโยบายพักชำระหนี้ของเกษตรกรกำหนดให้เกษตรกรที่เข้าโครงการพักชำระหนี้ต้องมีหนี้สินไม่เกิน 1 แสนบาท และต้องเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะปรากฏว่าเกษตรกรส่วนใหญ่มีหนี้สินเกิน 1 แสนบาท
สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ (สกน.) อันเป็นกลุ่มองค์กรเกษตรกรที่รวมตัวกันเพื่อติดตามตรวจสอบการแก้ไขปัญหาเกษตรกรพบว่า นโยบายพักชำระหนี้ของรัฐบาลนั้นไม่ได้แก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรจริง ชาวบ้านในสมาชิกเครือข่ายส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้านโยบายพักชำระหนี้เพราะมีหนี้โดยเฉลี่ยครอบครัวละไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาททั้งสิ้น ทั้งนี้เกษตรกรมีข้อเสนอว่าต้องการปลดหนี้มากกว่า "พักชำระหนี้"
นอกจากนี้ข้อเสนอของ สกน.ยังเห็นว่ารัฐบาลควรจะดำเนินการให้กองทุนฟื้นฟูชีวิตและพัฒนาเกษตรกรใช้การได้จริงตาม พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ปี 2542 กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่เกิดจากข้อเสนอของเกษตรกร แต่ปรากฏว่าแม้จะจัดตั้งมาถึง 7 ปีแล้วก็ยังไม่มีเกษตรกรรายใดได้รับการพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกร
สมศักดิ์ โยอินชัย ตัวแทนสกน.สะท้อนว่าเหตุที่การดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรโดยใช้กองทุนฟื้นฟูฯ ไม่มีความคืบหน้าเลย เป็นเพราะรัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาเกษตรกร ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯ นั้นชัดเจนว่าต้องการฟื้นฟูชีวิตเกษตรกรโดยการพัฒนาอาชีพ เปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดนโยบายและบริหาร
ประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูฯ เองก็ยอมรับเองว่าภายในคณะกรรมการกองทุนก็มีความขัดแย้งภายในองค์กร เนื่องจากความเข้าใจไม่ตรงกันทั้งเกษตรกร หน่วยงานราชการ กลไกรัฐรวมทั้งรัฐบาลด้วย
ประภาส ปิ่นตบแต่ง นักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความเห็นว่าอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินงานตามกองทุนฟื้นฟูฯไม่คืบหน้า เป็นเพราะรัฐบาลจงใจหลีกเลี่ยงที่จะนำกฎหมายนี้มาใช้ โดยแต่งตั้งตัวแทนของนักการเมืองเข้าไปบริหารงาน ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของกองทุนฟื้นฟูฯ ที่ให้เกษตรกรบริหารงานเอง ยิ่งไปกว่านั้นตามหลักการของกองทุนฟื้นฟูฯ นั้นต้องให้เกษตรกรฟื้นฟูชีวิตมากกว่าการกู้ยืมเงิน แต่รัฐบาลยังไม่จัดสรรงบประมาณให้
จากกองทุนหมู่บ้านถึงเอสเอ็มแอล
รัฐบาลแถลงผลงาน 4 ปีก่อนการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 ว่ากองทุนหมู่บ้านช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนไทย 13 ล้านคน งบกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองกระจายมาเป็น 2-3 ระลอก วัตถุประสงค์ของกองทุนระบุว่าเพื่อเป็นแหล่งทุนในการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนและชุมชน
แต่จากการติดตามของนโยบายดังกล่าวโดยสภาประชาชน จ.สุรินทร์เมื่อปี 2546 พบว่านโยบายกองทุนหมู่บ้านเป็นนโยบายเร่งด่วน การดำเนินการไม่มีการเตรียมความพร้อม ทำให้ชาวบ้านที่เข้ามาขอกู้เงิน ไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ส่วนใหญ่เป็นการนำไปหมุนหนี้มากกว่า
การพิจารณาอนุมัติให้กู้เงินก็ไม่มีความเท่าเทียม เช่น ที่ชุมชนศรีบัวราย อ.เมือง จ.สุรินทร์ คนจนไม่มีสิทธิกู้ยืมเงินกองทุนหมู่บ้าน เพราะไม่มีหุ้นอยู่ หรือเวลาขอกู้ก็ไม่ได้รับการอนุมัติเพราะคณะกรรมการกองทุนกลัวว่าจะไม่ได้เงินคืน เป็นต้น
นอกจากนี้กองทุนหมู่บ้านกลายเป็นการสร้างภาระ เพิ่มหนี้สินให้กับชาวบ้าน เช่นกรณีบางหมู่บ้านไม่เคยมีหนี้กลับมีหนี้เพราะกองทุนเงินล้าน เมื่อได้เงินล้านมา ไม่รู้ว่าจะนำเงินไปลงทุนอะไรก็นำไปซื้อของใช้ฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น เช่นมอเตอร์ไซด์ มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือบางหมู่บ้านก็นำเงินไปลงทุนทำเกษตรเชิงพาณิชย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำกันมาก่อน เช่นหมู่บ้านกะเหรี่ยงในเขตภาคเหนือ สุดท้ายก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาคืนกองทุนหมู่บ้าน เป็นต้น
กองทุนหมู่บ้านหลายแห่งทำให้ชุมชนแตกแยกกันมากขึ้น เกิคความคิดแตกแยกในการบริหารจัดการกองทุน ขณะที่คนจนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน เพราะคณะกรรมการกลัวว่าจะไม่มีเงินส่งคืนกองทุน
มาถึงงบพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน หรือ เอสเอ็มแอล ที่รัฐบาลทักษิณอนุมัติงบประมาณให้ในสมัยที่ 2 โดยจะให้งบประมาณแก่ชุมชนโดยตรง หมู่บ้านขนาดเล็กหมู่บ้านละ 200,000 บาท หมู่บ้านขนาดกลางหมู่บ้านละ 250,000 หมู่บ้านขนาดใหญ่ หมู่บ้านละ 300,000 บาท
รัฐบาลอนุมัติงบประมาณดังกล่าวตั้งแต่กลางปี 2547 ถือเป็นเงินแบบให้เปล่าเพื่อแก้ปัญหาส่วนรวมให้กับประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน และพัฒนาอาชีพให้แก่ชุมชนโดยให้ประชาชนเป็นผู้บริหารจัดการเอง ปีงบประมาณ 2547 รัฐบาลได้กระจายงบประมาณไปสู่หมู่บ้านจำนวน 253 ล้านบาท จำนวน 1,024 หมู่บ้าน ปีงบประมาณ 2548 ค.ร.ม.อนุมัติงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 9.4 พันล้านบาท เพื่อกระจายให้แก่หมู่บ้านทั้ง 3 ขนาดจำนวน 38,250 หมู่บ้าน ทั้งนี้สำนักงบประมาณได้ประกาศแล้วว่ามีการตั้งงบประมาณเอสเอ็มแอลตลอด 4 ปีที่รัฐบาลบริหารประเทศรวมทั้งสิ้น 7 หมื่นล้านบาท
อาจกล่าวได้ว่างบประมาณเอสเอ็มแอลเป็นงบประมาณก้อนใหญ่ภายหลังจากงบกองทุนหมู่บ้านละล้านที่กระจายมาสู่ชุมชน ดังนั้นเมื่อรัฐบาลมีการกระจายงบประมาณเอสเอ็มแอลมาสู่ชุมชนอีกระลอก นโยบายดังกล่าวจึงถูกติดตามตรวจสอบเช่นกันว่า การใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาความยากจนจะมีความยั่งยืนและสามารถแก้ปัญหาความยากจนได้หรือไม่
หลังการอนุมัติงบประมาณก้อนแรกปีงบประมาณ 2547 จำนวน 253 ล้านบาท รัฐบาลได้มีการประเมินผลโครงการเอสเอ็มแอลปีแรก ซึ่งพบว่าการนำงบประมาณไปใช้นั้น งบประมาณที่ชุมชนนำไปใช้มากที่สุดคือด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานร้อยละ 39.43 โครงการ ด้านการเกษตรคิดเป็นร้อยละ 15 ด้านการส่งเสริมรายได้และอาชีพร้อยละ 13.80 ด้านสวัสดิการชุมชนร้อยละ 27.22 และด้านอื่นๆ อีกร้อยละ 4.56
จากการติดตามของสำนักข่าวประชาธรรมพบว่าการกระจายเงินดังกล่าวกระจายไปตามสายผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่นำไปใช้เป็นงบพัฒนาหมู่บ้านโดยเฉพาะสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่นสร้างถนนมากที่สุด ส่วนการพัฒนาอาชีพถือว่าน้อยมาก
สมศักดิ์ โยอินชัย ตัวแทน สกน.มีความเห็นว่าการกระจายเงินครั้งนี้ของรัฐบาลทักษิณเหมือนกับนโนยายผันเงินสู่ชนบทในสมัยนายกรัฐมนตรีคึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งพบว่าไม่ได้แก้ไขปัญหาชาวบ้านอย่างแท้จริง แม้จะให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการบริหารเงิน แต่ก็ไม่ได้มีทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนาท้องถิ่น ชาวบ้านจะได้แค่ถนน สะพาน น้ำประปา และค่าแรง "ที่สุดก็เป็นแค่เงินที่จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็หายไป และสร้างระบบอุปถัมภ์เพื่อหาเสียงทางการเมือง ทั้งที่งบประมาณในส่วนนี้มีอยู่แล้วในอ.บ.จ. หรือ อ.บ.ต"
หากรัฐบาลอยากใช้เงินหลายหมื่นล้านบาท ก็ควรนำไปอุดหนุนในช่องทางอื่นมากกว่า โดยให้องค์กรปกครองท้องถิ่นระดมความเห็นของชาวบ้านจากแต่ละชุมชน แล้วทำแผนพัฒนาชุมชนว่าต้องการแบบไหน เช่น ส่งเสริมชาวบ้านที่ทำโอท็อปแต่ยังไม่เข้มแข็ง นำไปต่อยอดสิ่งดีๆ ที่ชุมชนได้ทำมา หรือเป็นกองทุนของหมู่บ้าน ชุมชนมีอำนาจจัดการบริหารเงิน แต่ไม่ใช่เหมือนกับกองทุนหมู่บ้านที่รัฐบาลทำที่ผ่านมา เป็นต้น แล้วรัฐบาลค่อยไปสนับสนุนทุ่มเททรัพยากร งบประมาณลงไปช่วยเหลือ "คุณทักษิณทำอะไรก็ได้ในทางการเมือง ไม่ต้องไปผ่านส.ส. อำนาจสั่งจ่ายอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว แน่นอนว่าเงินลงถึงพื้นที่เร็วขึ้น ประชาชนได้เงินโดยตรง แต่ผลของเงินที่ลงไปไม่มีใครรู้ว่า ประโยชน์ตกถึงคนจนจริงหรือไม่"
วีระพล โสภา ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน กล่าวว่า นโยบายนี้ถือเป็นเงินการเมือง ชาวบ้านโดยทั่วไปก็จะชอบใจที่จะได้เงิน แต่ถ้าเป็นชาวบ้านที่ติดตามการแก้ปัญหาคนจนก็จะเข้าใจ และเกิดคำถามว่าจะเป็นการนำเงินก้อนใหม่มาให้เป็นหนี้เพิ่มขึ้นเหมือนกองทุนหมู่บ้านหรือไม่ เป็นเงินผันสู่ชนบทเพื่อเสริมสร้างระบบอุปถัมภ์หรือไม่ ในส่วนของตนเห็นว่าเหมือนกับเป็นการบอกกับชาวบ้านว่าถ้าต้องการเงินจะต้องมอบอำนาจให้กับคุณทักษิณ เพื่อนำเงินออกมาจ่ายได้ เป็นการซื้อเสียงล่วงหน้า และเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น
ที่ปรึกษาสมัชชาคนจนกล่าวต่อว่าความเห็นตนนั้นไม่ได้ดูถูกความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้านว่าจะบริหารเงินไม่เป็น แต่การนำภาษีของประชาชนมาใช้ต้องมีความรอบคอบเป็นอย่างยิ่งสามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ถ้าหากรัฐบาลมีเจตนากระจายอำนาจการคลังจริง ทำไมไม่ใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดกระจายงบประมาณสู่ท้องถิ่นผ่านองค์กรปกครองท้องถิ่นเพิ่มขึ้นทุกปี อันเป็นหน้าที่ที่ทุกรัฐบาลต้องทำ
วีระพล โสภา กล่าวว่า คำถามสำคัญคือการแจกเงินให้ชาวบ้านรัฐบาลจะแจกได้นานแค่ไหน และตนเชื่อว่าไม่สามารถแก้ปัญหาชาวบ้านได้จริง หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาระดับรากหญ้า ตนเสนอให้รัฐบาลมีนโยบายที่ทำให้ชาวบ้านสร้างรายได้จากผลผลิตการเกษตรของตน โดยเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตเอง ราคาสินค้าเกษตรต้องไม่ตกต่ำ และยกเลิกการเปิดการค้าเสรีที่เข้ามาทำลายตลาดสินค้า
เอสพีวี กับโครงการโคแก้จน
หนึ่งในนโยบายแก้จนของเกษตรกรที่ฮือฮา และฉาวโฉ่อย่างมากคือนโยบายโคแก้จน โดยรัฐบาลได้จัดตั้งองค์กรนิติบุคคลเฉพาะกิจ ที่เรียกกันคุ้นหูว่า เอสพีวี (Special Purpose Vehicle ) หรือ บริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด (สอท.) เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรไทย โดยเอสพีวีมีหน้าที่ช่วยเหลือเกษตรกรด้านการจัดการตลาด และการเงิน สำหรับสินค้าเกษตรตัวแรกที่เอสพีวีจะช่วยเหลือคือ โคเนื้อ จึงเกิดโครงการ โคแก้จนดังกล่าว นอกจากนี้ก็มีโครงการปาล์มน้ำมัน และโครงการส่งเสริมการปลูกยางพาราในระยะต่อไปอีกด้วย
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติก่อตั้งเอสพีวีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2548 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท โครงการวัวแก้จน หรือโครงการวัวล้านครอบครัวก็เริ่มต้นดำเนินการ
คณะรัฐมนตรีอนุมัติส่งมอบโคเนื้อรุ่นแรกของโครงการที่รับการสนับสนุนโดยผ่านกลไกเอสพีวี ให้เกษตรกรจำนวน 2.5 แสนตัวในเดือนกรกฎาคม 2548 และครบ 5 ล้านตัวในปี 2551
วงเงินกู้ระหว่างปี 2548-2551 รวมทั้งสิ้น 36,042 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงบประมาณด้านการผลิตโคเนื้อ 33,532 ล้านบาท การแปรรูปและผลิตภัณฑ์ 1,710 ล้านบาท ด้านการตลาด 800 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2548 ใช้เงินลงทุนด้านการผลิตโค 5,497 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 8,303 ล้านบาท โดยคาดว่าเมื่อโครงการสำเร็จในปี 2550-2551 จะมีเกษตรกรที่ได้ประโยชน์ 1.95 ครัวเรือน สามารถสร้างรายได้ 34,543 ล้านบาทต่อปี หรือมีรายได้เพิ่มครอบครัวละ 1.3-2.5 หมื่นบาทต่อปีสำหรับเกษตรกรที่เลี้ยงโคเพื่อผลิตลูกขาย และมีรายได้เพิ่ม 1.8 หมื่นบาทต่อ ปี สำหรับเกษตรกรที่รับจ้างผสมเทียม
โครงการดังกล่าวถือหุ้นโดยกระทรวงการคลัง 100 % เกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการต้องเป็นเกษตรกรยากจน จะได้รับลูกโคก็ต่อเมื่อผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมวิธีการเลี้ยงโคอย่างถูกวิธี ถูกสุขลักษณะ และต้องทำความเข้าใจต่อสัญญาของเอสพีวีเสียก่อน ช่วงเริ่มต้นหน่วยงานหลักที่จะทำหน้าที่ในการจัดหาสินเชื่อให้แก่เกษตรกร คือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เจ้าเดิม ในโครงการระบุว่าจะส่งมอบโคให้แก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเมื่อลูกโคหย่านม มีอายุประมาณ 7-8 เดือน เงื่อนไขในการเลี้ยงโคนั้นจะต้องให้อาหารหญ้าที่ผลิตขึ้นในท้องถิ่น เมื่อโคโตเต็มที่ บริษัทเอสพีวีจะรับซื้อคืนกิโลกรัมละ 50 บาท เพื่อจำหน่ายให้โรงฆ่าสัตว์
แต่ในความเป็นจริงจากการศึกษาขององค์กรพัฒนาเอกชนในอีสานพบว่าการเลี้ยงโคขุนของสหกรณ์การเกษตรที่บ้านโพนยางคำ ต.เนินหอม จ.สกลนคร โคที่จะขุนได้ต้องมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 300-400 กิโลกรัม อายุประมาณ 2-4 ปี ถึงจะทำให้เนื้อมีคุณภาพ นอกจากนี้อาหารของโคที่ขุนในแต่ละวันต้องใช้เงินที่สูงมาก ไม่ใช่แค่หญ้า แต่ประกอบด้วยน้ำ หญ้าสดในฤดูฝนวันละ 6-12 กิโลกรัมต่อตัว ฟางข้าวทดแทนหญ้าสด 3-6 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน อาหารข้น (อาหารเม็ด) 6-7 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน กากน้ำตาลวันละ 2-3 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน
ในส่วนของอาหารข้นนั้นมีสูตรอาหารที่จะต้องมีสัดส่วนของโปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ กาก แป้ง ซึ่งวัตถุดิบไม่ได้อยู่ในท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง หรือปลาบ่น น่าสังเกตว่าวัตถุดิบเหล่านี้อยู่ในมือของบริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่ของนายทุน
นายศิริศักดิ์ ฉลามศิลป์ ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรโพนยางคำยอมรับว่าแม้สหกรณ์ฯจะมียอดจำหน่ายอาหารข้นสูงถึง 210 ตัน ก็ยังไม่ผลิตอาหารข้นเองเพราะต้นทุนสูงมาก วัตถุดิบต้องสั่งซื้อจากบริษัทใหญ่ๆ
ข้อเท็จจริงด้านต้นทุนการผลิตที่สูงมากเช่นนี้ จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่าเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการนี้จะหายจนได้จริงหรือ เพราะจากข้อมูลจากสหกรณ์โพนยางคำนั้นขนาดสหกรณ์โพนยางคำรับซื้อราคาประกันกิโลกรัมละ 89 บาท เกษตรกรยังแทบไม่ได้กำไร แถมบางตัวยังขาดทุนด้วยซ้ำ ดังนั้นหากบริษัทเอสพีวีรับซื้อราคากิโลกรัมละ 50 บาท เกษตรกรจะมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
นโยบายของรัฐบาลทักษิณที่มีต่อประชาชนระดับล่างยังมีอีกมาก เช่น การส่งเสริมการปลูกยางพาราในภาคเหนือ และอีสาน โอท็อป 30 บาทรักษาทุกโรค นอกจากนี้ยังนโยบายสาธารณะใหญ่ๆ เช่น นโยบายพลังงาน นโยบายการจัดการน้ำ การจัดการป่า การจัดการที่ดิน การศึกษา สาธารณสุข และเอฟทีเอ สำนักข่าวประชาธรรมจะทยอยมานำเสนอในโอกาสต่อไป.
แผนงานพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)